หมอมุก มุกหอมของสังคม
ข่าวที่ก่อให้เกิดความสลดหดหู่และสะเทือนขวัญของคนไทยทั้งประเทศ
ข่าวที่ก่อให้เกิดความสลดหดหู่และสะเทือนขวัญของคนไทยทั้งประเทศ
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
คือข่าวที่ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา แพทย์สาววัย 34 ปี แพทย์แผนปัจจุบัน สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว และมีความชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องฝังเข็ม สังกัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก ถูกนายทหารใจโหดขับรถพุ่งเข้าชน โดยเจตนาหมายจะเอาชีวิต ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์และหลักฐานในกล้องวงจรปิดและคำบอกเล่าของพยานบุคคลเป็นจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา มีชื่อเล่นว่า มุก เกิดเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ปี 2519 เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายทหารหาญที่อุทิศตนเพื่อชาติ พ.ต.ประสิทธิ์ และ พญ.พรรณกร (ชื่อสกุลเดิม เสาวรส สรรพางค์พิสุทธิ์) อิ่มวิทยา จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนจิตรลดา แล้วเข้าศึกษาต่อวิชาแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล เมื่อจบการศึกษาแล้วก็เข้ารับราชการในกรมแพทย์ทหารบก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ไปทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลค่ายทหารอานันทมหิดล จ.ลพบุรี แล้วจึงเข้ามาศึกษาต่อเฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีความสนใจในศาสตร์เรื่องการฝังเข็ม จึงสมัครเข้าไปเพิ่มพูนทักษะวิชาฝังเข็ม ที่กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ก่อนที่จะไปเป็นแพทย์ประจำการที่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ จ.ร้อยเอ็ด
พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา ต้องสูญเสียบิดามาตั้งแต่ยังแบเบาะ เนื่องจาก พ.ต.ประสิทธิ์ อิ่มวิทยา ผู้บิดาได้พลีชีพเพื่อชาติจากการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายในเขตปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้า เมื่อปี 2520 ในขณะที่หมอมุกอายุเพียง 9 เดือน เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับหมอมุกไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ พระราชทานทุนการศึกษาตลอดมา จากความเสียสละกล้าหาญของผู้เป็นพ่อที่ได้รับการยกย่องเชิดชูจากทางราชการ ให้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเหรียญกล้ากลางสมร ก็ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจและขวัญกำลังใจให้ พญ.พรรณกร มีกำลังใจเข้มแข็ง ในอันที่จะเลี้ยงดูฟูมฟักให้บุตรสาวคนเดียวเติบโตมาอย่างเห็นคุณค่าของการดำรงชีวิต เพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมชาติบ้านเมือง แม้ว่าจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคใดๆ สองคนแม่ลูกก็ไม่เคยย่อท้อ การเรียนแพทย์เพื่อเจริญรอยตามแม่แล้วเป็นทหารเจริญรอยตามพ่อ จึงเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา ที่ฝังแน่นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งผลักดันให้เธอเดินไปตามความมุ่งหวังนั้นได้ในที่สุด
ในขณะที่รับราชการเป็นแพทย์ทหารประจำการอยู่ ณ โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จ.ร้อยเอ็ด พ.ต.พญ.หทัยพร ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนแพทย์พยาบาล ในแง่มุมที่หลากหลายด้วยนิสัยที่ร่าเริงแจ่มใส มีจิตใจที่ใฝ่ธรรม เธอจึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมงาน ชาวบ้าน ตลอดจนพระคุณเจ้าสายวัดป่าในภาคอีสานหลายรูป เมื่อได้รับทราบถึงความทุกข์ยากลำบากของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในสถานการณ์ก่อการร้าย เธอจึงสมัครเป็นแพทย์อาสาในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อบำบัดรักษาพยาบาลแก่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ณพล บุญทับ ได้ทุ่มเททำงานด้วยความเสียสละอย่างเต็มที่ทั้งที่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จ.ร้อยเอ็ด และการทำงานในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โครงการพระราชดำริใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจากที่รับราชการที่ จ.ร้อยเอ็ด สลับกับการทำงานแพทย์อาสาไปจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ 2 ปีเต็ม พญ.พรรณกร ผู้เป็นมารดาซึ่งเกษียณราชการจากการเป็นอาจารย์แพทย์ สาขาพยาธิวิทยาและจุลชีววิทยา ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แต่ยังคงเปิดคลินิกรักษาคนไข้อยู่เพียงลำพังที่บ้านสามเสน พ.ต.พญ.หทัยพร จึงย้ายกลับเข้ามารับราชการ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อจะได้อยู่ดูแลมารดาและทำหน้าที่แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็พร้อมเสมอที่จะสมัครไปเป็นแพทย์อาสาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อมีโอกาส โดยไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะต้องมาประสบชะตากรรมอันโหดร้าย จากความใจดำอำมหิตของผู้ที่มีอาชีพเป็นทหารเช่นเดียวกัน จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ในกล้องวงจรปิดและสอบพยานอีกหลายปากที่เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ระบุว่า
เวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 11 มิ.ย. หมอมุก และคุณแม่ขับรถกลับมาถึงบ้าน ซึ่งเป็นที่ทำการของคลินิกเสาวรสของตนเอง และพบว่ามีรถยนต์จอดขวางอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรถที่ขับมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารสามเสนวิลลาในละแวกนั้น หมอมุกและแม่จึงได้จดเลขทะเบียนและให้ทางร้านช่วยประกาศเพื่อให้เจ้าของรถไปเลื่อนรถให้อย่างที่ทำทุกครั้ง จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคนแถวนั้นทราบดีว่าเป็นทหาร เดินออกจากร้านเพื่อมาเลื่อนรถ แต่ปรากฏว่ารถของหมอมุกจอดซ้อนอยู่จึงทำให้รถดังกล่าวต้องเข็นรถคันหน้าเพื่อขับรถออกด้วยความโมโห ซึ่งตอนนั้นหมอมุกกำลังไปเข้าห้องน้ำ เจ้าของรถจึงลงมาเขียนข้อความต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายบนกระจก
เมื่อเข็นรถคันหน้าเพื่อให้รถของตัวเองไปได้แล้ว ทหารคนดังกล่าวก็ได้ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว และจอดรถที่ฝั่งตรงข้าม เมื่อหมอมุกเดินออกมา ก็วกกลับรถด้วยความเร็วสูง และขับพุ่งชนหมอมุกเข้าอย่างจัง จนตัวหมอมุกกระเด็นไปไกลกว่า 30 เมตร ศีรษะกระแทกพื้น โดยมีที่ปัดน้ำฝน 2 ข้างของรถคันดังกล่าวหลุดติดไปที่ข้างตัว เจ้าของรถจึงขับหลบหนีไป แต่มีพลเมืองดีจดเลขทะเบียนรถไว้ และพร้อมที่จะเป็นพยานให้กับตำรวจ
สำหรับคดีดังกล่าว ทางญาติของหมอมุกได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.พญาไท แต่นับจากวันเกิดเหตุจนล่วงมาเป็นเวลากว่าสัปดาห์ คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทางญาติของหมอมุกจึงได้ค้นหาประวัติของรถดังกล่าวด้วยตัวเอง พบว่ารถคันนั้นเป็นของกรมยุทธบริการ กองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งมีพลเอกนอกราชการเป็นผู้ครอบครองรถและได้ให้ลูกชายซึ่งเป็นทหารยศพันโท สังกัดกองทัพบก ไว้ใช้เป็นการส่วนตัว แต่ตำรวจก็ยังไม่มีการเรียกรถคันดังกล่าวมาดำเนินคดี ทั้งๆ ที่รู้หมายเลขทะเบียน และรู้ชื่อของคนขับแล้ว ทางญาติจึงเกรงว่า คู่กรณีอาจจะย้อมสีรถ ทำลายหลักฐาน หรือเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถให้คนอื่นมารับผิดแทน ทั้งนี้ บรรดาเพื่อนของหมอมุก ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎวชิระพยาบาลและโรงเรียนจิตรลดา จึงอยากร้องเรียนไปยังกองทัพบก ให้เข้ามาตรวจสอบคดีนี้ ร่วมกับตำรวจเพื่อนำผู้ต้องหามาดำเนินคดี โดยขอความร่วมมือไปยังข่าว 3 มิติของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3
เมื่อข่าวถูกเผยแพร่ไปสู่สังคมก่อนที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผู้อำนวยการกองการสำนักปลัดบัญชีทหารจะเดินทางไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร ยอมรับว่ารถเก๋งที่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์จดไว้และนำไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เป็นรถเก๋งที่ใช้ในราชการปลัดบัญชีทหาร ใครนำไปใช้ต้องมีการลงชื่อเบิกทุกครั้ง และทหารที่ดูแลรถแจ้งว่า รถคันนั้นมีปัญหาหม้อน้ำรั่วซึมตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. และใช้วิ่งภายในกรมเท่านั้น ไม่ได้ออกไปไหน
แต่เมื่อ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น เข้ามอบตัวและให้การกับตำรวจ กลับยอมรับว่าวันเวลาที่เกิดเหตุ ตนเองกับภรรยาพร้อมด้วยลูกสาวและเพื่อนลูกสาว ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านสามเสนวิลลา บริเวณที่เกิดเหตุจริง แต่เหตุที่เกิดขึ้น เป็นเพราะหมอมุกจอดรถขวาง “รถคันที่ก่อเหตุ” ตนจึงขับรถออกไม่ได้ จนลูกสาวโมโหเลยไปเขียนที่กระจกรถหมอมุกทั้ง 4 ด้านว่า “จอดรถไม่มีมารยาท” จากนั้นหมอมุกก็เดินมาขยับรถและโต้เถียงกับตนเอง และกระโดดใส่รถจนได้รับบาดเจ็บ
ในขณะที่ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กล่าวว่า ผลการตรวจรถยนต์ต้องสงสัยที่ พล.ต.พิสิทธิ์ เปาอินทร์ บอกว่าใช้วิ่งอยู่ภายในกรมเท่านั้นไม่ได้วิ่งออกไปไหนในวันเกิดเหตุนั้น เป็นรถยนต์คันที่ก่อเหตุจริง นอกจากนี้ยังไม่พบรอยบุบด้านหน้ารถ จึงไม่น่าเชื่อว่าหมอมุกจะกระโดดเข้าใส่ นอกจากนี้ พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาของ พ.ต.พญ.หทัยพร ยังกล่าวว่าในวันเกิดเหตุ พ.ต.พญ.หทัยพร ไม่ได้ไปโต้เถียงกับคู่กรณีแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้ขอให้มารดาเข้าไปอยู่ในบ้าน เพราะคู่กรณียังจอดรถซุ่มอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร
สิ่งที่น่าคิดในขณะนี้ก็คือ กองบัญชาการทหารสูงสุดต้นสังกัด กรมยุทธบริการทหาร สำนักงานปลัดบัญชีทหาร จะจัดการอย่างไรกับกรณีที่เกิดขึ้นนี้ การหาหนทางที่จะปกป้องคนผิดด้วยวิธีการอย่างที่เห็น และเป็นอยู่ เพียงเพื่อจะปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า รถที่ก่อเหตุนั้นได้มีนายทหารนอกราชการ ผู้ทรงอิทธิพลนำรถไปครอบครองไว้ และได้นำรถของทางราชการไปให้บุตรชาย ซึ่งเป็นนายทหารมียศระดับพันโทไปใช้นั้น หากสอบสวนเอาความผิดกันอย่างซื่อตรงแ ล้ว อาจจะมีนายทหารอีกหลายคนต้องได้รับโทษ โดยมิได้รู้สึกสำนึกเลยแม้แต่น้อยว่าการกระทำของนายทหารผู้ก่อเหตุ (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) นั้น มันเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายเลวทรามและย่ำยีความรู้สึกของผู้คนเกินกว่าที่สังคมมนุษย์จะรับได้ แล้วศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชายชาติทหาร กองทัพไทยอยู่ที่ไหนหรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยอมปล่อยให้ปลาเน่าเพียงตัวเดียวมาทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของกองทัพไทย


