บัวแก้วเชื่อศาลโลกไม่รับคำร้องเขมรทั้งหมด
กต.เชื่อศาลโลกไม่รับคำร้องเขมรทั้งหมด ย้ำมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่เขมรขอยังไม่มีความจำเป็น เหตุไม่ได้มีเรื่องพิพาทระหว่างกัน คาด 3-4 สัปดาห์รู้ผลรับไม่รับเรื่องเข้าสู่การพิจารณา
กต.เชื่อศาลโลกไม่รับคำร้องเขมรทั้งหมด ย้ำมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่เขมรขอยังไม่มีความจำเป็น เหตุไม่ได้มีเรื่องพิพาทระหว่างกัน คาด 3-4 สัปดาห์รู้ผลรับไม่รับเรื่องเข้าสู่การพิจารณา
เมื่อเวลา 11.00 น. นายอิทธิพล บุญประคอง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศ และนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารสนเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมบรรยายสรุปกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตีความกรณีคำพิพากษาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 เพื่อออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว พร้อมทั้งให้มีคำสั่งถอนกำลังทหารไทยออกนอกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ณ ห้องแกนด์บอร์ดรูม อาคารบางกอกโพสต์
นายอิทธิพล กล่าวว่า เมื่อปี 2505 ศาลโลกได้ตัดสิน 3 เรื่อง คือ 1.ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ภายใต้ดินแดนอธิปไตยกัมพูชา 2.คำพิพากษาศาลให้ไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากตัวปราสาทและพื้นที่ใกล้เคียง และ 3.ไทยต้องคืนวัตถุโบราณให้กับทางกัมพูชา ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาออกมาถือว่าเป็นที่สิ้นสุดอุทธรณ์ไม่ได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งช่องทาง คือ ธรรมนูญศาลโลก ข้อ 60 หากมีคำโต้แย้งเกี่ยวกับขอบเขตและความหมายคำพิพากษาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจขอให้ศาลตีความใหม่ได้ แต่ศาลไม่ได้ระบุว่าต้องทำภายในเมื่อใด
ทั้งนี้ หากไทยจะฟ้องกลับสามารถทำได้ แต่ไม่ได้เป็นการฟ้องคืน เป็นการยื่นเรื่องเดิมให้ศาลพิจารณาแก้ไขคำสั่งที่มีอยู่เดิมหากมีข้อเท็จจริงอะไรขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ดี ธรรมนูญ ข้อ 61 ระบุว่า 1.ต้องไม่เกิน 10 ปี ที่ศาลมีคำพิพากษาไว้ 2.ต้องใช้สิทธิ์ภายใน 6 เดือน นับจากที่ทราบ จึงเป็นเหตุผลให้ทางกัมพูชาคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชามีความเห็นแตกต่างในเรื่องการตีความ ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งให้สามารถยื่นตีความได้ โดยอาจจะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
นายอิทธิพล กล่าวว่า ส่วนการตีความศาลโลกต้องพิจารณาว่ามีข้อพิพาทกันจริงหรือไม่ ซึ่งนอกจากกัมพูชายื่นเรื่องตีความแล้ว ยังมีการขอออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว เพราะธรรมนูญ ข้อ 41 ได้เขียนไว้ว่า เพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ของคู่กรณี ระหว่างรอผลการพิจารณาคดีหลัก แต่การขอให้ไทยถอนทหาร ไม่มีกิจกรรมใดในบริเวณปราสาท หรือกระทบสิทธิ์กัมพูชา แต่ศาลจะออกต้องดูว่ามีอำนาจขอบเขตหรือไม่ และข้อ 74 ในข้อบังคับศาลระบุว่า หากต้องการให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ถือว่าต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน
ในการต่อสู้ ไทยได้โต้แยงไปว่า ไม่มีข้อพิพาทอะไรเกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากพันธกรณี 3 ข้อ เมื่อปี 2505 ไทยได้ปฏิบัติตามหมดแล้วจึงไม่มีอะไรต้องตีความอีก ทั้งนี้ การตีความทั่วไป ศาลจะให้ฝ่ายไทยทำข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกำหนดวันอย่างเร็ว 1 เดือน ช้าที่สุด 3-4 เดือน
"30-31 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นการเข้าให้ข้อมูลกับศาลโลกด้วยวาจา และศาลจะแจ้งวันอีกทีให้มานั่งฟังคำตัดสินอีก 3-4 สัปดาห์ หลังจากศาลพิจารณาเสร็จแล้ว และจะดำเนินคดีตีความ 1-4 เดือน เป็นอย่างช้า ว่าจะมีการเข้าให้ความด้วยวาจาในการตีความอีกหรือไม่”นายอิทธิพล กล่าว
ส่วนการออกมาตรการชั่วคราวได้เลยหรือไม่ โดยหลักคำตัดสินถือว่าปฏิบัติได้เลย เพราะไทยเป็นประเทศภาคี ตามข้อ 94 วรรค 1 ระบุว่าประเทศที่เป็นสมาชิกจะต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตาม คู่กรณีสามารถใช้วรรค 2 ร้องขอให้คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้มีมาตรการหรือออกคำสั่งอะไรก็ได้
ด้านนายธานี กล่าวว่า ศาลโลกจะมีวิธีการปฏิบัติแตกต่างจากศาลไทย ซึ่งศาลโลกจะรับเรื่องดังกล่าวมาตีความเลยทีเดียวว่าจะรับหรือไม่ รวมถึงบอกสาเหตุด้วยว่าทำไมในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ หลายฝ่ายสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาดำเนินการตามกรอบทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา รวมถึงอาเซียนก็กังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศคาดว่า ศาลโลกจะไม่รับเรื่องร้องเรียนจากกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งเป็นไปได้ยากมากถึงมากที่สุด และการเตรียมการของไทยในการต่อสูคดี ไม่คิดอยู่บนพื้นฐานการได้เปรียบ แต่คิดเพียงว่าตัวอย่างที่ผ่านมาการดำเนินคดีในลักษณะดังกล่าว ซึ่งคำขอของกัมพูชาเสนอมาหากศาลโลกมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวคงให้เพียงบางข้อเท่านั้น หรือไม่ก็ให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่เหมือนกัน หรือให้ทั้ง 2 ฝ่าย หยุดอยู่กับที่ โดยห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง ให้เป็นยังไงก็อย่างนั้น


