น้ำตาลกับยาพิษ
วันนี้ขอเขียนเรื่องแนวสุขภาพครับ ท่านผู้อ่านจะได้มีที่พักสายตาจากเรื่องการเมืองและเรื่องเลือกตั้ง
วันนี้ขอเขียนเรื่องแนวสุขภาพครับ ท่านผู้อ่านจะได้มีที่พักสายตาจากเรื่องการเมืองและเรื่องเลือกตั้ง
โดย..อรุณ จิรชวาลา
ไม่นานมานี้ มีข่าวคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กไทย เป็นโรคอ้วนกันมาก สาเหตุก็หนีไม่พ้นการบริโภคแป้งกับน้ำตาลมากเกินไป
ความเข้าใจทางด้านโภชนาการแต่ไหนแต่ไรคือ ร่างกายจะแปลงอาหารประเภทแป้งเป็นน้ำตาล ส่วนน้ำตาล ไม่ว่าจะมาจากแป้งหรือจากการบริโภคโดยตรง เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน แต่ถ้าเผาผลาญหรือใช้ไม่หมด ก็จะถูกแปลงเป็นไขมันสะสมไว้ และหากสะสมไว้มาก ก็อาจกลายเป็นคนอ้วนหรือเป็นโรคอ้วนได้
แต่ผลการวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีข้อบ่งชี้ว่า น้ำตาลอาจไม่เพียงทำให้อ้วนเท่านั้น แต่อาจจัดเป็นยาพิษชนิดหนึ่ง ประเภทที่ไม่ทำให้เกิดพิษภัยร้ายแรงในทันที แต่ค่อยๆ สะสมในร่างกายจนทำให้เกิดโรคร้ายในภายหลัง
โรคร้ายที่สัมพันธ์กับการบริโภคน้ำตาลนอกจากโรคอ้วนแล้ว ที่สำคัญก็มีเบาหวาน โรคเกาต์ โรคหัวใจ และมะเร็ง
เราทราบกันดีว่า โลกนี้ถ้าปราศจากโรคหัวใจกับมะเร็ง ชีวิตมนุษย์โดยเฉลี่ยจะยืนยาวขึ้นอีกไม่น้อย
ก่อนอื่นต้องบอกว่า สารที่ในทางเคมีจัดว่าเป็นน้ำตาลมีอยู่หลายชนิด แต่หลักๆ ที่เราบริโภคปนกันในชีวิตประจำวันมีอยู่ 2 ชนิด คือกลูโคสกับฟรุกโตส โดยที่น้ำตาลทราย หรือซูโครส จะประกอบด้วยกลูโคสกับฟรุกโตสอย่างละครึ่ง ในขณะที่น้ำตาลจากข้าวโพด หรือเอชเอฟซีเอส สูตรที่แพร่หลายที่สุดจะมีฟรุกโตส 55% กลูโคสและอื่นๆ 45%
แม้จะมีสูตรทางเคมีเหมือนกัน และเมื่อเผาผลาญแล้วให้พลังงานเท่ากัน แต่โครงสร้างและคุณสมบัติทางเคมีของกลูโคสกับฟรุกโตสกลับต่างกันมาก ตัววายร้าย หรือตัวที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกว่ายาพิษ ในที่นี้ก็คือฟรุกโตส
กลูโคสเป็นน้ำตาลที่ทุกอวัยวะในร่างกายสามารถนำไปเผาผลาญใช้เป็นพลังงานได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นพลังงานแห่งชีวิต เกือบทั้งหมดของกลูโคสที่เราบริโภคเข้าไปจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน มีเหลือน้อยมากที่ถูกแปลงเป็นไขมันสะสมไว้ ต่างจากฟรุกโตสซึ่งอวัยวะต่างๆ ใช้งานโดยตรงไม่ได้ ต้องให้ตับเผาผลาญให้เท่านั้น ผลที่ตามมาคือ ในจำนวนฟรุกโตสที่เราบริโภคเข้าไป โดยเฉลี่ยมีถึง 30% ที่ถูกแปลงเป็นไขมัน ทั้งไขมันในตับ ในช่องท้อง และตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย รวมทั้งอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งทำให้ไตรกลีเซอไรด์และไขมันตัวเลวในเลือดสูงขึ้น
ผมไม่เชี่ยวชาญพอที่จะอธิบายทฤษฎีทางการแพทย์ แต่เพียงแค่นี้ท่านที่สนใจเรื่องสุขภาพก็คงจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างฟรุกโตสกับโรคอ้วน เบาหวาน เกาต์ ความดัน และโรคหัวใจ
สำหรับโรคมะเร็ง การเพาะเชื้อในห้องทดลองพบว่าเซลล์มะเร็งชอบกินน้ำตาลทุกชนิด แต่จะขยายตัวและแพร่พันธุ์ได้ดีเป็นพิเศษเมื่อมีฟรุกโตส
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ชาวเอสกิโมสมัยก่อนไม่เคยมีประวัติการเป็นมะเร็ง เพิ่งมาเริ่มเป็นหลังจากได้รับการแนะนำให้รู้จักกับน้ำตาล
วิธีชะลอการแพร่ของมะเร็งที่เริ่มทดลองกับคนไข้ และเห็นผลในระดับหนึ่ง คือการหยุดอาหารที่มีส่วนผสมของฟรุกโตส
หากเราค้นคำว่าฟรุกโตสในพจนานุกรม ก็จะพบคำแปลว่าเป็นน้ำตาลผลไม้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ผิดครับ ผลไม้รสหวานส่วนใหญ่มีฟรุกโตส ซึ่งหากรับประทานมากๆ ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม แต่โดยทั่วไปฟรุกโตสในผลไม้มีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ นอกจากนี้ ใยอาหารตามธรรมชาติในผลไม้จะช่วยให้การดูดซึมน้ำตาลของร่างกายช้าลงและน้อยลง
ในสมัยโบราณ ฟรุกโตสที่มีอยู่ในธรรมชาติมีไม่มากนัก มาเริ่มมีปัญหาเมื่อมีอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาลทราย ซึ่งนอกจากจะมีการเพิ่มปริมาณการปลูกอ้อยมหาศาลแล้ว ในกระบวนการผลิตยังสกัดเอาใยอาหารซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในอ้อยออกทั้งหมด
ปัญหายิ่งหนักขึ้นเมื่ออุตสาหกรรมน้ำตาลในสหรัฐเปลี่ยนมาใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ เพราะข้าวโพดในสหรัฐมีราคาถูกมาก เนื่องจากรัฐบาลชดเชยราคาให้ชาวไร่
น้ำแป้งจากข้าวโพดถูกแปลงมาเป็นกลูโคส และจากกลูโคสถูกแปลงเป็นฟรุกโตสอีกทีหนึ่ง กลายเป็นน้ำเชื่อมที่มีรสหวานจัด และถูกนำมาใช้แทนน้ำตาลทรายในอุตสาหกรรมน้ำอัดลมและอุตสาหกรรมอาหารเกือบทุกชนิด
ฟรุกโตสที่มาจากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลจากอ้อยหรือจากข้าวโพด จึงมีปริมาณมากกว่าน้ำตาลธรรมชาติในผลไม้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า
ทุกวันนี้ แม้แต่นมผงที่ใช้เลี้ยงเด็กทารก ส่วนใหญ่ก็มีส่วนผสมของฟรุกโตสอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้แต่เด็กทารกที่ยังไม่รู้จักเลือกอาหารกินเองก็มีที่เป็นโรคอ้วนแล้ว จากการสำรวจในสหรัฐพบว่า เด็กทารกวัยเพียง 6 เดือนเป็นโรคอ้วนถึงประมาณ 10%
เชื่อว่ามีเด็กทารกไทยจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคอ้วนเช่นกัน
นอกจากนี้ เมื่อเด็กทารกที่ยังไม่รู้ความได้ลิ้มรสน้ำตาล ก็จะเกิดการเสพติดโดยไม่รู้ตัว โตขึ้นก็จะโหยหาและเรียกร้องอาหารที่มีรสหวาน
การจะเลิกหรือจำกัดการใช้ฟรุกโตสไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฟรุกโตสมีรสหวานจัดกว่าน้ำตาลชนิดอื่น และเมื่อผสมกันอยู่ในอาหารจะทำให้น้ำตาลชนิดอื่นมีรสหวานขึ้นด้วย ทำให้มีข้ออ้างว่า การได้รสหวานจากฟรุกโตสช่วยให้ความจำเป็นต้องใส่น้ำตาลลงไปในอาหารโดยรวมมีน้อยลง เช่นหากต้องการให้ได้รสหวานเท่ากัน จะต้องใช้กลูโคสมากกว่าฟรุกโตสกว่าเท่าตัว เป็นต้น
ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับน้ำตาลมีหลากหลาย และรวมกันแล้วมีขนาดใหญ่มาก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการปกป้องการบริโภคน้ำตาล โดยมีการสรรหาสารพัดข้อมูลมาช่วยอธิบายและสนับสนุน
คงอีกนานกว่าผลการทดสอบทางการแพทย์จะได้ข้อสรุปชัดเจนในเรื่องพิษภัยของน้ำตาลโดยปราศจากข้อโต้แย้ง
ในระหว่างนี้ ผมคิดว่าเราไม่ควรจะอยู่เฉย แต่ควรช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยบริโภคน้ำตาลให้น้อยลง รวมทั้งช่วยปกป้องเด็กทารกแรกเกิดไม่ให้ต้องดื่มนมผสมยาพิษโดยที่เด็กไม่มีโอกาสปฏิเสธ


