posttoday

จับตา10วันอันตราย มาร์คตัดไฟแต่ต้นลม

08 กุมภาพันธ์ 2553

สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองในเวลานี้จริงๆ คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง

สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองในเวลานี้จริงๆ คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

เพราะเหตุใดเพียงแค่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐ ในการกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ ระหว่างวันที่ 514 ก.พ. กลับมีการวิเคราะห์ไปว่าเป็น10 วันที่อาจจะมีจุดเปลี่ยนทางการเมือง

ประการหนึ่ง ต้องยอมรับว่ายิ่งใกล้วันพิพากษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.พ. สถานการณ์ทางการเมืองก็ประหนึ่งว่าจะเริ่มมีกลิ่นอะไรแปลกๆ หลายต่อหลายครั้ง

อาทิ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มถึง 2 ครั้ง ภายใน 2 วันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลเพิ่งจะยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือจะเป็นการที่มีมือมืดปาอุจจาระเข้าไปในบ้านพักของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งสะท้อนว่าความรุนแรงกำลังจะปะทุอีกครั้ง

ดังนั้น ในช่วงนี้ที่พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้นำกองทัพ ไม่อยู่ในเมืองไทย จึงไม่แปลกหากมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะมีปัจจัยอะไรที่อาจนำมาซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันทางการเมืองขึ้นในช่วงนี้

1.“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวเกี่ยวกับการรัฐประหารอื้ออึงตลอด โดยมีปัจจัยจากความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีเค้าลางว่าอาจจะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเกิดขึ้น

ทำให้สถานการณ์ที่พล.อ.อนุพงษ์ไม่อยู่ในครั้งนี้ ถามว่าจะไว้ใจได้แค่ไหนกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะไม่คิดยึดอำนาจรัฐบาล ถ้าในระหว่างนี้มีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงเพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร

อย่างไรก็ดี ถ้าดูกันจริงๆ สมมติฐานนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะพล.อ.ประยุทธ์เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดบูรพาพยัคฆ์เหมือนกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกหมายตาเอาไว้ว่าจะเป็นผู้นำกองทัพบกต่อจากพล.อ.อนุพงษ์

ประกอบกับกองทัพในยุคบิ๊กป๊อกเป็นทองแผ่นเดียวกับรัฐบาลชุดนี้ด้วยแล้ว โอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์จะคิดยึดอำนาจแทบไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะน้องตู่คงไม่หาญกล้าล้ำเส้นทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของพี่ป๊อก

“ที่ผ่านมาทุกคนยืนยันหมดแล้วว่าไม่ปฏิวัติ ทหารระดับล่างก็ปฏิบัติตามคำบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด รับประกันกับประชาชนทั้งประเทศว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้คงไม่ต้องกำชับหรือสั่งการพล.อ.ประยุทธ์เป็นพิเศษในช่วงที่ไม่อยู่ กองทัพบกทุกคนอยู่ในวินัยทำงานเรียบร้อย” คำการันตีพลเอกจากชายชาติทหารอย่างพล.อ.อนุพงษ์

2.นายกฯ ฮุนเซนตะลุยลงพื้นที่พิพาท ยังเล่นไม่เลิกจริงๆ สำหรับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา เพราะสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางมาเยี่ยมทหารในพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทพระวิหาร

นอกจากนี้ นายกฯ ฮุนเซนยังได้เดินทางไปยังชายแดนไทยกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ และบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี พร้อมกับให้สัมภาษณ์ยั่วยุรัฐบาลไทย เพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศ

ยิ่งมาเจอกับการเติมเชื้อไฟให้ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชารุนแรงมากขึ้นเข้าไปอีก เพราะการมาในพื้นที่พิพาทของนายกฯ ฮุนเซน อยู่บนเป้าหมายของการแสดงสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าวประหนึ่งพื้นที่พิพาทนี้เป็นของกัมพูชา

ส่งผลให้มีความจำเป็นที่ต้องมีการวางมาตรการทางการทหารเฝ้าระวังกันมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการปะทะของทหารทั้งสองฝ่าย
ถึงที่สุดแล้วปฏิบัติการของผู้นำกัมพูชาคงไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของรัฐบาลไทย เพราะความจริงแล้วการที่ฮุนเซนตระเวนตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาช่วงนี้ ด้านหนึ่งเพื่อหวังผลต่อคะแนนความนิยมทางการเมืองในประเทศด้วย

ซึ่งมีสาเหตุมาจากคะแนนความนิยมของฮุนเซนลดลงจากกรณียังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของเวียดนามที่ได้ปักหลักหมุดแบ่งเขตแดนกินพื้นที่เข้ามาในบริเวณ อ.จันเตรีย จ.สวายเรียง ประเทศกัมพูชา

เท่ากับว่าการเล่นสงครามจิตวิทยากับไทยในครั้งนี้ เป็นเพียงการสร้างกระแสเพื่อกลบอีกกระแสหนึ่งเท่านั้น ทำให้ปัญหานี้ไม่น่าจะส่งผลต่อการเมืองภายในของไทยมากนัก สังเกตได้จากรัฐบาลไทยที่ไม่ได้มีมาตรการอะไรเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากการให้แม่ทัพภาคที่ 2 ต้อนรับขับสู้ตามมารยาทเท่านั้น

3.การเคลื่อนไหวของเสื้อแดง เป็นอีกเรื่องที่น่าวิตกเช่นกัน เพราะในระยะนี้แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โหมกระพือกระแสเต็มที่ในช่วงที่รอคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ ก่อนที่จะมีการนัดวันชุมนุมใหญ่เร็วๆ นี้

ทั้งนี้ ด้วยความเป็นเอกภาพของเสื้อแดงในระยะนี้ที่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่จากแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองทัพประชาชน ยิ่งเป็นปัจจัยทำให้การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่คล่องตัวมากนัก เพราะเสื้อแดงเองก็ระวังตัวเช่นกัน สะท้อนได้จากความคิดเห็นของ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.

“ในระหว่างนี้พวกอำมาตย์ลงมือปาระเบิดบ้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่ง และประโคมข่าวว่าเป็นฝีมือเสื้อแดงหรือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แล้วจะอยู่อย่างไร จึงจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”

เป็นผลให้พลังของเสื้อแดงที่อาจจะแรงก็ไม่น่าจะแรงอย่างที่คิด บวกกับมาตรการที่รัฐบาลได้วางเอาไว้หลังจากที่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ผ่านมา

ด้วยการมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)จับตาพื้นที่ 26 จังหวัด รวมไปถึงกรุงเทพฯ และในส่วนของตำรวจอีก 38 จังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ความไม่สงบ

รูปทรงของสถานการณ์ที่ออกมาได้ชี้ให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลได้วางแผนรับมือมาเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลว่ายังพร้อมต่อการเป็นฝ่ายบริหารต่อไปจนครบวาระ

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองในเวลานี้จริงๆ คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังดูไม่ออกว่าจะลงเอยอย่างไร นั่นแหละคือจุดเสี่ยงที่สุดของรัฐบาล

ข่าวล่าสุด

ชี้จุด วิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน - นครราชสีมา ต้องไปจุดไหน?