posttoday

"ทองคำ"ค้ำยันทุนสำรอง

09 พฤษภาคม 2554

ต้องบอกว่าอึ้งและตกตะลึงกันทั่วประเทศ

ต้องบอกว่าอึ้งและตกตะลึงกันทั่วประเทศ

โดย..ทีมข่าวการเงิน

เมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยข้อมูลว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดอันดับหนึ่งใน 3 รองจาก เม็กซิโก รัสเซีย ที่กว้านซื้อทองคำเข้าคลังสำรองในช่วงเดือน ก.พ.มี.ค.ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท

"ทองคำ"ค้ำยันทุนสำรอง

แถมยังเป็นการทยอยซื้อในช่วงที่ราคาทองคำโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้นถึง 9.3 ตัน ทำให้ยอดการถือครองทองคำเพิ่มเป็น 108.9 ตัน

ยิ่งตรวจสอบฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นงวด 29 เม.ย. 2554 พบว่า มีสัดส่วนการถือครองทองคำสูงถึง 5,515.79 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร่วม 1.65 แสนล้านบาท

ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 ที่มีการถือครองทองคำแค่ 4,598.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.38 แสนล้านบาท

เพียงแค่ 1 ปี การถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 917 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 20%

ข้อมูลแค่นี้ อาจจะยังไม่พอเห็นภาพในการวิเคราะห์ จึงย้อนดูทุนสำรองเงินตราลึกไปกว่านี้ พบว่า ช่วงสิ้นปี 2551 ในโครงสร้างเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย มีการถือครองทองคำอยู่แค่ 2,276 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 7.94 หมื่นล้านบาท เมื่อคิดจากเงินบาท 34.88 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

แต่พอสิ้นปี 2552 ในทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นมีสัดส่วนการถือครองทองคำถึง 2,934.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าคิดเป็นเงินบาทก็ตก 9.79 หมื่นล้านบาท คิดจากค่าเฉลี่ย 33.35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

จะพบว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่าเดิมเกือบ 1 เท่าตัว

สัดส่วนของทุนสำรองของไทย ที่ประกอบด้วย ทองคำ สินทรัพย์พิเศษถอนเงิน สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสินทรัพย์ต่างประเทศ รวมทั้งหมดที่มีอยู่ 1.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5.68 ล้านล้านบาทนั้น ทองคำเพิ่มขึ้นเป็นอันดับสอง

เป็นรองจากสินทรัพย์ต่างประเทศที่เพิ่มจาก 1.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2251 ขึ้นมาเป็น 1.82 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ไทยเริ่มกวาดซื้อ “ทองคำ” ทั่วโลกตามธนาคารกลางทั่วโลกที่มีการเขย่าปรับสูตรเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่มีนโยบายที่จะลดการสำรองเงินเหรียญสหรัฐมาเป็นทองคำมากขึ้น

นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำราคาขึ้นแบบหาทางกู่ไม่กลับ

การสะสมทองคำของธนาคารกลาง กำลังสะท้อนถึงความรู้สึกไม่มั่นคงของนักลงทุนที่มีต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรปที่กำลังดิ้นหลังชนฝากับปัญหาหนี้สาธารณะ และสหรัฐที่กำลังปวดหัวกับเงินคงคลังที่ร่อยหรอ จนทำให้ S&P ต้องออกโรงเตือนว่า อาจจะหั่นอันดับเครดิตสหรัฐในอีก 2 ปีข้างหน้า

หากค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงแบบเรื้อรัง และไม่มีทีท่าว่าจะแข็งค่าขึ้นจนถึงขนาดที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ผนวกกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่ย่ำแย่ลง หายนะนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นยังไม่เริ่มที่จะฟื้นตัว พ่วงเข้าไปกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อก็น่าจะทำให้มีการแห่ซื้อทองคำกันมากขึ้น

เพราะเมื่อเกิดเงินเฟ้อหนักข้อ สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ จะอ่อนแอและแปรปรวนผันผวนยิ่ง แต่ทองคำยังมั่นคงอยู่ได้ เพราะเป็น Safe Heaven Asset ที่เป็นใครก็อยากถือครองไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ทั้งนี้ นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่า ทองคำที่ถีบตัวสูงขึ้นนั้น ยังไม่มีสัญญาณว่าราคาจะถดถอยลง

เพราะถ้าธนาคารกลางแต่ละประเทศแย่งถือครองทองคำเพื่อค้ำยันทุนสำรองระหว่างประเทศแล้วไซร้ นักลงทุนตัวเล็กๆ ก็คงปลอดภัย เพราะไม่มีทางที่นักลงทุนขาใหญ่จะไม่เข้าไปเก็งกำไรโดยเด็ดขาด

สำหรับประเทศไทยนั้น การสะสมทองคำที่เพิ่มขึ้นนั้น สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายการบริหารจัดการทุนสำรองของไทยไม่สามารถเดินฝ่ากระแสคลื่นลมเศรษฐกิจโลกไปได้

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งสัญญาณชัดออกมาว่า ธปท.เตรียมปรับสูตรโครงสร้างทุนสำรอง โดยมีนโยบายที่จะเพิ่มการถือครองเงินหยวน เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ และจะลดสัดส่วนการถือทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศจากเดิม 3% ของสินทรัพย์ในทุนสำรองเหลือ 2% “หม่อมเต่า” ให้เหตุผลการลดการทุนสำรองทองคำ เนื่องจากการลงทุนทองคำไม่ค่อยได้รับผลตอบแทนมากนัก

ขณะเดียวกันก็จะเริ่มที่ทยอยนำทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับมาไว้ในไทยและช่วง 12 ปีนี้ จะเริ่มนำกลับมาอย่างน้อยให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งก่อน จากที่ฝากไว้ในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของทองคำทั้งหมดในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ

การเพิ่มขึ้นของทองคำในทุนสำรองได้ปฏิเสธวิธีการดังกล่าวไปอย่างเห็นได้ชัด

เพราะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน หยวนก็ไร้เสถียรภาพจากนโยบายดอกเบี้ยและนโยบายค่าเงิน เงินเหรียญสหรัฐก็พึ่งพาไม่ได้

ไม่มีทรัพย์สินอะไรจะค้ำยันฐานะความมั่งคั่ง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศและประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยได้ดีกว่า “ทองคำ” อีกแล้ว

แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้ว ธปท.มีการปรับเปลี่ยนไส้ในของสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีอยู่ 1.82 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ทั้งหมด 1.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนการถือครองเงินตราสกุลหลักในโลก เช่น เงินเยน เงินยูโร เงินเหรียญสหรัฐ มาเป็นเงินหยวนเพื่อลดแรงเสียดทานของความผันผวนหรือเพื่อสร้างกำไรจากค่าเงินบ้าง

แต่ไม่มีอะไรจะโฉบเฉี่ยวไฉไลเกินกว่าการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว

และถึงแม้คณะกรรมการ ธปท.ชุดหม่อมเต่าจะมีแนวคิดและอยู่ระหว่างการศึกษาในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ไม่เช่นนั้นอนาคตหากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้ไทยขาดทุนจากการลงทุน จึงต้องแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถลงทุนเพิ่มเติมได้

แต่เชื่อว่าการลงทุนในทองคำจะมีความหมายสำคัญในการสร้างความมั่นคง

แม้แต่ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.ก็ออกมายอมรับว่า แนวโน้มค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลงทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ หันไปซื้อทองคำเพื่อเพิ่มสัดส่วนทุนสำรอง เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ขณะที่ประเทศไทยก็ได้ทยอยซื้อทองคำเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันให้มีอยู่สัดส่วนมากกว่า 3% ของทุนสำรองที่มีอยู่เกือบ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐด้วยเช่นกัน โดยคิดเป็นทองคำประมาณ 110 ตัน และยังกระจายไปถือครองเงินสกุลอื่นตามคุณสมบัติให้เกิดความเหมาะสม

จะเห็นได้ว่าการส่งผ่านนโยบายทุนสำรองที่ “ประธานบอร์ด ธปท.” ส่งสัญญาณมาตั้งแต่ต้นปีที่จะลดการสำรองทองคำ ดูเหมือนจะสวนกับแนวทางการปฏิบัติ เมื่อพิจารณาจากปริมาณทองคำที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่ต้องติดตามคือ ธปท.จะบริหารทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไร เพื่อหาประโยชน์ให้งอกเงย จะได้นำเงินรายได้มาจ่ายหนี้ในบัญชีที่เป็นตัวแดงจนต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน ในการจ่ายดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ปีละเกือบ 7 หมื่นล้านบาท

หนทางหนึ่งที่วัดฝีมือหรือกึ๋นการบริหารทุนสำรอง ธปท.นอกจากจะบริหารความความผันผวนของเงินกองทุนฯ แล้ว ควรจะต้องสร้างดอกผลให้กองทุนสำรองฯ ไปด้วย ไม่ใช่แช่แข็งเงินไว้

อย่างน้อยก็ต้องบริหารให้เกิดดอกผลที่จะนำเงินมาจ่ายลดภาระดอกเบี้ยจ่ายที่กระทรวงการคลังจะต้องควักเงินภาษีประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยปีละ 7 หมื่นล้านบาท จากการเข้าโอบอุ้มสถาบันการเงินในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 1.4 ล้านล้านบาท

ทางออกหนึ่งการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ซึ่งทั่วโลกมีการจัดตั้งกองทุน SWF ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน สิงคโปร์ นอร์เวย์ และรัสเซีย

สำหรับที่ผ่านมาไทยมีแนวคิดที่จะตั้งกองทุน SWF โดยนำเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของ ธปท.มาจัดตั้งกองทุนไปหาผลประโยชน์ในต่างประเทศ เพราะเกิดปัญหาทุนสำรองมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินบาทแข็งกระทบเศรษฐกิจ จึงเห็นว่าการตั้งกองทุนนำเงินไปลงทุนต่างประเทศจะทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ และได้รับผลตอบแทนจากการไปลงทุนมากขึ้น

แม้แต่ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี ก็สนับสนุนให้นำเงินสำรองของ ธปท.ที่มีอยู่มากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ว่าควรจะแบ่งมาประมาณ 2 ใน 3 เพื่อตั้งเป็น “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” เพื่อนำเงินที่มีอยู่นี้ออกไปลงทุน ไม่เช่นนั้นเงินสำรองที่มีอยู่จำนวนมากเกินไปก็จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม แนวทางนำเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมาตั้งกองทุน SWF ก็ต้องมีความกล้าหาญ เพราะต้องมีการแก้พระราชบัญญัติ พ.ร.บ.เงินตรา และ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้นำเงินทุนสำรองมาลงทุนได้ ซึ่งจะมีปัญหาหากมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วย

“โจทย์หิน” ในการบริหารทุนสำรองประเทศ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ของ ธปท.จึงอยู่บนทางสามแพร่ง ล่อแหลมและท้าทายการบริหาร การตัดสินใจของผู้นำองค์กรเป็นอย่างยิ่ง

สถานการณ์เช่นนี้ท้าทายฝีมือของคณะกรรมการ ธปท.ว่าจะโชว์กึ๋นนำพาประเทศในห้วงเศรษฐกิจโลกผันผวนได้อย่างไร

ยึดถือทองคำมาค้ำยันทุนสำรองมากเกินไปก็อันตราย หากมูลค่าทองคำทิ้งตัวลงมา

ครั้นจะพึ่งพาหยวนเกินกว่าเงินเหรียญสหรัฐที่กำลังอ่อนปวกเปียกก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความแข็งแกร่งและมั่นคง

จะลุยไฟนำเงินทุนสำรองไปลงทุนเพื่อหากินก็อาจต้องเจอกับแรงต้านจากมวลชน

หากทำตัวเพียงแค่เป็นเสือนอนกินดอกเบี้ยจากทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ลำบาก  

 

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี