posttoday

เงินเฟ้อคู่เงินฟืด สัญญาณอันตรายเศรษฐกิจไทย

02 พฤษภาคม 2554

ขณะนี้ประชาชนคงรู้สึกสับสนว่าเศรษฐกิจไทยดีจริงหรือไม่

ขณะนี้ประชาชนคงรู้สึกสับสนว่าเศรษฐกิจไทยดีจริงหรือไม่

 
โดย...ทีมข่าวการเงิน

ขณะนี้ประชาชนคงรู้สึกสับสนว่าเศรษฐกิจไทยดีจริงหรือไม่ เพราะดูเหมือนเงินในกระเป๋าน้อยลง ในขณะที่ราคาสินค้าจำเป็นต่อชีวิตแพงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปที่มนุษย์เงินเดือนอาศัยฝากปากท้องไว้ก็ปรับราคาขึ้นไป อย่างข้าวราดแกงจานละ 30-40 บาทแล้ว

เงินเฟ้อคู่เงินฟืด สัญญาณอันตรายเศรษฐกิจไทย

 ภาวะเช่นนี้ประชาชนรู้สึกว่าเงินฝืด คือมีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยลง ทำให้การเงินไม่คล่องตัว ไม่มีเงินออม ถ้ามีรายจ่ายพิเศษก็จะชักหน้าไม่ถึงหลัง

นี่เป็นประเด็นที่น่าค้นหาว่าเกิดเงินฝืด (Deflation) จริงหรือไม่ หรือเกิดภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืดพร้อมกัน (Stagflation) ในระบบเศรษฐกิจไทยในขณะนี้หรือไม่

วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กูรูด้านเศรษฐศาสตร์ บรรยายลักษณะอาการของเงินฝืดไว้ว่า เป็นสถานการณ์ที่ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดลงเรื่อยๆ ในเชิงเทคนิคคือลดลงต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป แต่การบริโภคของประชาชนลดลง เนื่องจากไม่มีเงินซื้อส่งผลให้เศรษฐกิจยิ่งซบเซาหนักขึ้น

ผู้ผลิตจำเป็นต้องลดราคาสินค้า ลดจำนวนผลิต เกิดการว่างงาน

ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากภาวะเงินฝืดจะเป็นกลุ่มเจ้าหนี้ และผู้มีรายได้ประจำ ส่วนผู้ที่ต้องเสียประโยชน์คือ ผู้มีรายได้จากกำไรและลูกหนี้

อย่างไรก็ดี ดัชนีที่จะดูเงินฝืดอีกประการหนึ่งก็คือ อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะต่ำกว่าตัวเลขเงินเฟ้อ

ในปีนี้เดิมนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณการว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ระดับ 3-5% แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธปท.ปรับตัวเลขจีดีพีอยู่ที่ระดับ 4.1% เงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับ 2.3% ด้านเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.9%

หากดูจากภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจริงของไทยนั้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศยังเติบโตแต่ก็เติบโตในอัตราที่ชะลอลง เพราะโดนราคาสินค้า หรือเงินเฟ้อดูดเงินจากกระเป๋าชาวบ้านไปหมด ฉะนั้นการจะเกิดเงินฝืดในประเทศไทยก็มีความเสี่ยงว่าจะเกิดจากการที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าภาวะเงินเฟ้อ

จากการแทรกแซงราคาน้ำมัน โดยใช้ทุกวิถีทางของรัฐบาลเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงเกินลิตรละ 30 บาท และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ รถไฟฟรี รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน รวมทั้งขอร้องผู้ประกอบการให้ตรึงราคาสินค้าไว้ก่อน ไม่ให้ขึ้นตามต้นทุนจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เงินเฟ้อของไทยเพี้ยนไปจากความเป็นจริง โดยเงินเฟ้อจริงที่ประชาชนรับภาระอยู่อาจจะสูงกว่าตัวเลขที่หน่วยงานพยากรณ์เศรษฐกิจทั้งหลายทำออกมา

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลก็เห็น และการประกาศนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนนั้น ก็เพื่อให้มีเงินมากขึ้นมาซื้อของแพง และพยายามกระตุ้นให้เกิดการลงทุน มีเงินหมุนเวียนในระบบเพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด เพราะหากเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขยากกว่าป้องกัน และพยายามเป่าให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าเงินเฟ้อ แต่ก็ไปเผชิญกับนโยบายการเงิน ที่ใช้เงินเฟ้อเป็นตัวกำหนดนโยบาย

ตามหลักของนโยบายการเงินที่มองเงินเฟ้อเป็นหลัก เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เห็นได้จากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.75% แล้ว และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ก็ขึ้นดอกเบี้ยตาม ทั้งเงินฝากและเงินกู้ ทำให้กลายเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยไปเสียอีก

โดยภาวะ Stagflation อาจเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงถูกซ้ำเติมจากปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทาน หรือ Supply Shock ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ผลักดันราคาสินค้าและบริการต่างๆ ให้เพิ่มสูงขึ้น หรืออาจเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์แวดล้อม เช่น การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ

ในขณะที่นโยบายของภาครัฐที่พยายามจะบรรเทาผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคา แต่กลับเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดด้วยการออกกฎระเบียบที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ก็อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อไหร่ที่รัฐปล่อยให้ราคาสินค้าขึ้นราคาตามต้นทุนที่แท้จริง

แต่ในมุมมองของ น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณของภาวะเงินฝืดพร้อมกับเงินเฟ้อ (Stagflation) ในระบบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจ การลงทุนและการบริโภค ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ที่ผ่านมาภาครัฐก็มีมาตรการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ดังนั้นภาวะดังกล่าวจึงยังไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลในขณะนี้

“ในทางทฤษฎีภาวะเงินฝืดในเงินเฟ้อนั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศเกิดชะงักงัน แต่ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังสามารถเติบโตต่อไปได้ และยังไม่มีสัญญาณเตือนจากภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย และเมื่อดูจากมาตรการดูแลปัญหาเป็นจุดๆ ของภาครัฐ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วง” น.ส.อุสรา กล่าว

อย่างไรก็ดี รัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณที่จะเข้ามาช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะรัฐบาลขาดดุลงบประมาณ คือใช้จ่ายมากกว่ารายได้ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และเมื่อขาดดุลงบประมาณก็จะต้องกู้เงินมาปิดหีบซึ่งมีผลต่อหนี้สาธารณะ ทุกอย่างจึงทำด้านหนึ่งไปกระทบอีกด้านหนึ่ง

แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงเรื่องจะเกิดเงินเฟ้อและเงินฝืดพร้อมกันนั้น ปัญหาการเมืองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะในเร็วๆ นี้จะมีการประกาศยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ หากการเลือกตั้งกลับเข้าสู่วังวนเดิมคือพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมีจำนวน สส.มาก แต่ไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สงบในบ้านเมือง ประเด็นนี้ประชาชนและนักธุรกิจเป็นห่วงมาก ฉะนั้นจึงเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่สำคัญทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่าย

ฉะนั้น การบริหารเศรษฐกิจในภาวะเช่นนี้ ผู้บริหารก็จะต้องใช้ฝีมือมาก โดยเฉพาะความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และรัฐบาลจะต้องเลือกว่าจะเน้นให้เศรษฐกิจโต หรือจะเน้นให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ

แต่เท่าที่ดูในขณะนี้ รัฐบาลรักษาการเอง ก็ยังคงเน้นวิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการหาวิธีเพิ่มให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ให้มากขึ้น เพราะแนวทางที่รัฐบาลคิดออกมาก็คือ เพิ่มค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วยการเพิ่มประเภทการหักลดหย่อน การประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ การให้ประชาชนซื้อบ้านหลังแรกในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0% เป็นเวลา 2 ปี เป็นต้น

ขณะนี้รัฐบาลต้องเผชิญกับทางแยกที่จะต้องเลือกว่าระหว่างเสถียรภาพกับการเติบโตของเศรษฐกิจจะเอาอย่างไร แต่สิ่งที่รัฐบาลรักษาการกำลังพยายามทำอยู่ก็คือ การโปรยนโยบายประชานิยมเพื่อซื้อใจประชาชน หวังคะแนนเสียงในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะอาจจะไปสร้างปัญหาเศรษฐกิจในอนาคตได้ เนื่องจากเงินเฟ้อไม่ยอมลด และไม่ตอบสนองต่อดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเท่าที่ควร ซึ่งก็คือการเกิด Stagflation นั่นเอง แทนที่จะเป็นเพียง Recession ช่วงสั้นๆ เหมือนที่เคยเป็นในอดีต

สำหรับประชาชนตอนนี้คงไม่มีกำลังจะบริโภคได้มากเท่าเดิม เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทุกวันดูดเอาพลังซื้อไปมาก หากไม่ประหยัดก็จะอยู่ไม่รอด และหากประชาชนพากันประหยัดอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นแน่นอน

ถึงแม้ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะนำเศรษฐกิจไปสู่สภาวะ “Stagflation” อย่างเต็มที่ แต่ก็มีสัญญาณที่จะเป็นเช่นนั้น รัฐบาลไม่ควรละเลยปัญหานี้ เพราะหากเกิดขึ้นจริงจะแก้ไขยาก

 

ข่าวล่าสุด

สธ. ปั้นนโยบายขึ้นทะเบียนยา ATMPs ‘เร็วที่สุดในอาเซียน’ ดัน 'Medical Economy'