นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร แพทย์ผู้ก้าวไกลในระดับโลก(ตอนที่1)
นับเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อหมอไทยได้รับรางวัลระดับโลกที่อังกฤษ
นับเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อหมอไทยได้รับรางวัลระดับโลกที่อังกฤษ
หมอไทยผู้นี้คือ นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร แพทย์นักวิชาการสาธารณสุขของไทย อันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขระดับโลก
รางวัลที่ นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ได้รับนี้คือ รางวัลเอดวิน แซดวิค (Edwin Chadwick Mesal) ที่คณะสาธารณสุขและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน จัดให้มีขึ้นเพื่อเป็นแก่เกียรติเซอร์เอควิน แซดวิค ผู้วางรากฐานให้แก่การสาธารณสุขสมัยใหม่ โดย นพ.วิโรจน์ ได้รับคัดเลือกเป็นคนที่ 5 ที่ได้รับรางวัลนี้ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่การสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีผลงานอันโดดเด่นในการสร้างความเจริญก้าวหน้าด้านสาธารณสุขอย่างชัดแจ้ง เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร
นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวคนจีนโพ้นทะเล เกิดที่โรงพยาบาลหัวเฉียว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2497 สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2521 ได้รับประกาศนียบัตรด้านการบริหารโรงพยาบาล จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 2526 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก in Health Planning and Financing จาก London School of Hygiene and Tropical Medicine มหาวิทยาลัยลอนดอน ปี 2533 วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้รับรางวัล Woodruff Medal จากมหาวิทยาลัยลอนดอน
เป็นแพทย์ใช้ทุนรุ่น 9 โดยรับตำแหน่งครั้งแรกเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลโขงเจียม จ.อุบลราชธานี จากนั้นย้ายไปที่โรงพยาบาลตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี และโรงพยาบาลอำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (ในขณะนั้น ปัจจุบันเป็น จ.อำนาจเจริญ) ได้รับรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2529 จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่กรุงลอนดอนด้วยทุนของ Rockefeller Foundation ใช้เวลาในการเรียนต่อ 3.5 ปี กลับมารับราชการต่อด้วยการเป็นหัวหน้างานแผนกต่างๆ กองแผนงานสาธารณสุข ซึ่งต่อมาเป็นสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งได้เริ่มทำงานด้านวิชาการโดยเฉพาะด้านการเงินการคลังระบบสุขภาพ
นอกจากนั้น ยังได้รับทุนเมธีวิจัยอาวุโส จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สองสมัยติดต่อกัน คือ ปี 2541-2544 และปี 2544-2547 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ “สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ” สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2546
ตลอดระยะเวลาแห่งการทำงานด้านสาธารณสุขในประเทศไทย นพ.วิโรจน์ ได้พยายามผลักดันให้รัฐบาลเห็นความจำเป็น และความเร่งด่วนในการปฏิรูปด้านการสุขาภิบาล การลงทุนเพื่อสุขภาพของประชาชน บนหลักการพื้นฐานว่า สุขภาพของสาธารณชนเป็นบทบาทหน้าที่ ซึ่งจะต้องรับผิดชอบของรัฐบาล และได้พยายามผลักดันให้ภาครัฐเห็นว่า สิ่งจำเป็นเพื่อการสาธารณสุข คือการสร้างและรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี ประกอบกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อต่างๆ จะช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจ ความคาดหวังของประชาชนอันจะนำไปสู่การวางรากฐานการสาธารณสุขในวงกว้าง
นอกจากนี้แล้ว นพ.วิโรจน์ ยังเป็นแพทย์ที่มีผลงานวิจัยทางด้านการสาธารณสุขอย่างมากมายในฐานะนักวิจัยโครงการเมธีวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการติดตามผลกระทบต่อการผ่าตัดคลอด ซึ่ง นพ.วิโรจน์ มีความเห็นที่วงการแพทย์จะต้องรับฟังคือ
“การผ่าตัดคลอด มีผลเสียมากมาย ทั้งต่อแม่และเด็ก เนื่องจากการผ่าตัดคลอด อาจทำให้ผู้เป็นแม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสลบ ติดเชื้อจากการผ่าตัด เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและระบบลำไส้ ส่วนผลเสียที่เกิดกับตัวเด็กคือ หากเป็นการผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด ก็เท่ากับทำให้เด็กต้องออกมาดูโลกทั้งๆ ที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ เด็กจึงมักมีปัญหาเรื่องระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายไม่สมบูรณ์ ที่พบบ่อยคือปัญหาตัวเหลือง ซึ่งเกิดจากตับทำงานไม่เต็มที่ หรือปัญหาระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว ดังนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัด เพื่อช่วยชีวิตแม่และทารกจริงๆ แพทย์และผู้ตั้งครรภ์ ไม่ควรเลือกใช้วิธีนี้เลย”
ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ที่ยืนยันว่าสมควรผ่าตัดคลอด ก็คือ ทารกไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เช่น ทารกมีขนาดผิดสัดส่วนกับช่องเชิงกรานของแม่ หรือเด็กอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น หันก้นออก หรือนอนขวางท้อง ทำให้คลอดทางช่องคลอดไม่ได้ หรือแม่เป็นโรคแทรกซ้อนซึ่งถ้าปล่อยให้คลอดเองอาจเกิดอันตรายได้
ข้อมูลของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ซึ่งทำการสำรวจ “แบบแผนการคลอดบุตรในโรงพยาบาลปี 2533-2539” ระบุว่าอัตราการผ่าตัดคลอดบุตรในประเทศไทย อยู่ในระดับสูงเกินมาตรฐานและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เห็นได้จากเมื่อปี 2533 มีอัตราการผ่าตัดคลอดบุตรเพียง 15.2% แต่ในปี 2539 เพิ่มขึ้นเป็น 22.4% ในขณะที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอัตราการผ่าตัดคลอดของแต่ละประเทศไว้ว่าไม่ควรเกิน 15%
การผ่าตัดคลอดนอกจากจะทำให้เกิดอันตรายต่อแม่และเด็กดังที่กล่าวมาแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและทรัพยากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น เนื่องจากการผ่าตัดคลอดมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากผ่าตัดคลอดในโรงพยาบาลรัฐจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-5,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลเอกชนตกประมาณ 3 หมื่น1 แสนบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในกรณีคลอดแบบธรรมดาจะพบว่าค่าใช้จ่ายแตกต่างกันอย่างลิบลับ กล่าวคือ ถ้าคลอดแบบธรรมดาในโรงพยาบาลรัฐเสียค่าใช้จ่ายเพียง 300-2,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลเอกชนตกประมาณ 23 หมื่นบาท ประมาณกันว่าตัวเลขผ่าตัดคลอดในประเทศไทยที่สูงเกินจากเกณฑ์มาตรฐานกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินที่สูญเสียไปถึงปีละ 666 ล้านบาทเลยทีเดียว


