ประกันจ่าย 4 แสนล้านลูกครึ่งญี่ปุ่นลุ้นระทึก
มีการประเมินความเสียหายของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น จากบริษัท เอไออาร์ เวิลด์ไวด์ ซึ่งเป็นบริษัทประเมินความเสี่ยงชั้นนำระดับโลก
มีการประเมินความเสียหายของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น จากบริษัท เอไออาร์ เวิลด์ไวด์ ซึ่งเป็นบริษัทประเมินความเสี่ยงชั้นนำระดับโลก
โดย...ทีมข่าวการเงิน
มีการประเมินความเสียหายของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น จากบริษัท เอไออาร์ เวิลด์ไวด์ ซึ่งเป็นบริษัทประเมินความเสี่ยงชั้นนำระดับโลก
คาดว่ามีมูลค่าอย่างต่ำ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท
ส่วนความเสียหายขั้นสูงสุดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.46 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท
ขณะที่สำนักข่าวดาวโจนส์คาดว่าความเสียหายที่เกิดกับบริษัทประกันภัยในญี่ปุ่นจะมีประมาณ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.66 แสนล้านบาท โดยเป็นการประมาณการจากจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยแผ่นดินไหวที่เพิ่มขึ้นนับจากปี 2538
ธุรกิจประกันภัยระหว่างประเทศ “อ่วมอรทัย” มาตั้งแต่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผลขาดทุนอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 แสนล้านบาท จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศนิวซีแลนด์และน้ำท่วมใหญ่ในออสเตรเลีย
ขณะที่เหตุการณ์ในญี่ปุ่นรุนแรงกว่านั้นนับสิบเท่า และอย่าลืมว่าญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่ตื่นตัวต่อการประกันภัยสูงมาก
อาจมีรถยนต์ที่ต้องเคลมความเสียหายทั้งคันหลายหมื่นคัน ยังไม่นับบ้านเรือนประชาชนและอาคารสูงที่เสียหายมหาศาล
ชีวิตผู้คนที่เสียชีวิตน่าจะทะลุหมื่นคน และยังต้องมีการรักษาพยาบาลต่อเนื่องอีกนับไม่ถ้วน
โดยการเคลมประกันจะต้องเป็นเรื่องที่วุ่นวายตามมาในญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์ความเสียหายยุติลง
นายวิชัย สันติมหกุลเลิศ รองผู้จัดการใหญ่บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ สาขาประเทศไทย กล่าวว่า ความเสียหายที่จะเกิดกับประกันภัยนั้นยังไม่มีการประเมินที่แน่ชัด
สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย จะมีบริษัท เจแปน เอิร์ท เควท รีอินชัวรันซ์ เป็นผู้รับประกัน แล้วทำประกันภัยต่อบางส่วนไปยังบริษัทต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ขณะที่การประกันอุตสาหกรรมหรือธุรกิจรายใหญ่ บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับประกัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทประกันมากนัก เพราะมีการทำประกันภัยต่อไปยังต่างประเทศ
“ในฐานะที่เป็นสาขาของบริษัทประกันภัยญี่ปุ่น ไม่ได้รับผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ รวมถึงบริษัทประกันภัยอื่นๆ ในไทยที่ถือหุ้นโดยบริษัทประกันภัยญี่ปุ่นก็ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ” นายวิชัย กล่าว
โดยสถานการณ์ล่าสุดของบริษัทประกันลูกครึ่งญี่ปุ่นในประเทศไทย ต้องติดตามข้อมูลจากบริษัทแม่แบบวันต่อวัน
แม้สำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่นจะไม่ถูกกระทบกระเทือน แต่ก็ต้องวุ่นวายกับการพิจารณาช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก
สำหรับบริษัทประกันภัยจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตในประเทศไทย มี 4 กลุ่ม
ประกอบด้วย กลุ่มบริษัท สมโพธิ์ เจแปน บริษัท โตเกียวมารีน กลุ่มบริษัท ไอโออิ และบริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์
บริษัท สมโพธิ์ เจแปน มีบริษัทลูกในไทยชื่อ บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 300 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 มีเบี้ยรับรวม 631.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.51%
กลุ่มผู้ถือหุ้นประกอบด้วยสมโพธิ์ เจแปน ถือหุ้นสัดส่วน 51% โดยเป็นการถือตรง 25% กลุ่มสุรพลฟู้ดส์ถืออยู่ 24% และเครือสหพัฒน์ถือ 20% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย
โดยบริษัทแม่คือสมโพธิ์ เจแปนในญี่ปุ่น จะควบรวมเข้ากับบริษัท นิปปอนโคอะ อินชัวรันส์ เป็นบริษัทใหม่ชื่อว่าเอ็นเค เอส เจ โฮลดิ้งส์ ทำให้กลายเป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น
บริษัท โตเกียวมารีน มีการทำธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต โดยบริษัทประกันภัยชื่อ บริษัท โตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 20 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 มีเบี้ยรับรวม 3,886.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.51%
กลุ่มผู้ถือหุ้นประกอบด้วย กลุ่มโตเกียวมารีนจากญี่ปุ่น ถือหุ้น 52.5% รองลงมาเป็นกลุ่มเตชะไพบูลย์ ถือหุ้น 26.9% ตามด้วยกลุ่มนิสเซ โดวา จากญี่ปุ่น ถือหุ้น 7.5% กลุ่มเอื้อวัฒนะสกุล ถือหุ้น 3.9% กลุ่มเสรฐภักดี ถือหุ้น 1.3% และผู้ถือหุ้นรายย่อย ถือหุ้น 7.97% ด้านบริษัทประกันชีวิตชื่อ บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มโตเกียวมารีน
บริษัท ไอโออิ กรุงเทพประกันภัย ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 15 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 มีเบี้ยรับรวม 2,010.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.26% ถือหุ้นโดยบริษัท ไอโออิ ญี่ปุ่น 23.4% กลุ่มโสภณพนิช ถือหุ้น 35% บริษัท กรุงเทพประกันภัย 12% ที่เหลือถือโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย
บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ สาขาประเทศไทย ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 128.47 ล้านเยน ณ สิ้นปี 2553 มีเบี้ยรับรวม 3,041.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.78% ถือหุ้นโดยกลุ่มมิตซุยจากญี่ปุ่นทั้งจำนวน โดยได้เข้าเทกโอเวอร์บริษัท บริษัท เอ็ม เอส ไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) ทุนจดทะเบียน 142.66 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,552.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42%
คงต้องลุ้นกันว่าผลพวงจากการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นของบริษัทประกันภัยญี่ปุ่น จะสะเทือนฐานะของบริษัทลูกครึ่งไทยแค่ไหน


