ประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ทางแยกการเมืองไทยกับเกมเวลาและกฎหมาย
การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญถูกเสนอเป็นทางออกประหยัดงบกว่า 4,000 ล้านบาท แต่ติดข้อจำกัดกฎหมายและกรอบเวลา เสี่ยงเลื่อนเลือกตั้งและขยายอำนาจรัฐบาล
KEY
POINTS
- การเสนอจัดประชามติแก้รัฐธรรมนูญพร้อมวันเลือกตั้งเพื่อประหยัดงบประมาณ ขัดแย้งกับข้อกฎหมายที่กำหนดกรอบเวลาจัดทำประชามติไม่น้อยกว่า 60 วัน
- ความขัดแย้งด้านเวลาและกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียประโยชน์จากความล่าช้า ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมได้เปรียบ
- รัฐบาลเผชิญทางเลือกระหว่างการยอมเสียงบประมาณเพิ่มเพื่อแยกวันจัดประชามติ หรือเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ซึ่งเสี่ยงต่อข้อครหาว่าเป็นการยืดเวลาอำนาจ
เกมประหยัดงบกับดักเวลา กฎหมายยังไม่เปิดช่องชัดเจน
การผลักดันให้จัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญพร้อมวันเลือกตั้งทั่วไป ถูกนำเสนอในฐานะ “เหตุผลเชิงงบประมาณ” เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 4,000 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะการคลังที่ตึงตัว แต่เมื่อพิจารณาในเชิงกฎหมาย กลับพบว่าข้อเสนอที่ดูเรียบง่ายนี้ ซ่อนเงื่อนไขสำคัญซึ่งอาจพลิกเกมการเมืองทั้งกระดาน
กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติกำหนดกรอบเวลาขั้นต่ำไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องจัดให้มีการออกเสียงไม่น้อยกว่า 60 วันนับแต่วันที่มีมติ การพยายาม “เร่งรัด” หรือผูกวันประชามติเข้ากับวันเลือกตั้งทั่วไป จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคการจัดการเลือกตั้ง แต่เป็นปัญหาเชิงหลักการที่อาจขัดกับตัวบทกฎหมายโดยตรง
หากยึดเงื่อนไขดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทางเลือกที่เหลืออยู่จึงไม่มากนัก หนึ่งคือแยกวันประชามติออกจากการเลือกตั้ง ยอมเสียงบประมาณเพิ่ม หรือสองคือเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปเพื่อรอให้ครบกำหนดตามกฎหมาย ซึ่งทั้งสองทางล้วนมีต้นทุนทางการเมืองที่รัฐบาลต้องแบกรับ
เสียงต่างนักกฎหมาย ชี้ชะตาได้เปรียบ–เสียเปรียบพรรคการเมือง
ความเห็นของนักกฎหมายต่อประเด็นนี้แตกออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า การอ้างเหตุจำเป็นด้านงบประมาณอาจเปิดช่องให้ยืดหยุ่นกรอบเวลาได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยง ขณะที่อีกฝ่ายย้ำว่า การตีความเช่นนั้นเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องและสร้างบรรทัดฐานอันตรายต่อระบบประชาธิปไตย
ความแตกต่างทางความเห็นนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องเรียนกฎหมาย แต่สะท้อนตรงไปยังสมรภูมิการเมือง พรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมมองว่าการทำประชามติคือกลไกสำคัญในการปลดล็อกโครงสร้างรัฐธรรมนูญเดิม และยิ่งยืดเยื้อเท่าใด โอกาสในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งถดถอย
ในทางกลับกัน พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมกลับไม่ได้เสียประโยชน์จากความล่าช้า ตรงกันข้าม การเลื่อนหรือยื้อกระบวนการอาจช่วยรักษาสภาพเดิมของกติกาการเมือง และลดแรงกดดันต่อโครงสร้างอำนาจที่ดำรงอยู่ ทำให้เกมเวลา กลายเป็นปัจจัยได้เปรียบโดยปริยาย
ปิดฉาก MOU 44 เงื่อนไขกฎหมายกับข้อสงสัยเรื่องยืดอำนาจ
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกตัดออกจากวาระประชามติคือกรณี MOU 44 หลังสำนักงานกฤษฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันในลักษณะที่ต้องจัดทำประชามติ การยุติประเด็นนี้ช่วยลดภาระทางกฎหมายของรัฐบาล แต่ก็ยิ่งทำให้สายตาสังคมหันกลับมาจับจ้องประชามติแก้รัฐธรรมนูญเพียงเรื่องเดียว
เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งหมด เงื่อนไขด้านกฎหมายและงบประมาณจึงไม่ใช่เพียงข้อจำกัดเชิงเทคนิค หากแต่เป็น “เครื่องมือ” ที่สามารถกำหนดจังหวะและทิศทางทางการเมืองได้ การเลื่อนวันเลือกตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับกรอบประชามติ แม้จะอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงข้อครหาว่าเป็นการขยายเวลาอำนาจของรัฐบาล
บทสรุปของสถานการณ์นี้จึงไม่ได้อยู่ที่คำถามว่าจะทำประชามติหรือไม่ หากแต่อยู่ที่ว่า ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการเลือกใช้เงื่อนไขทางกฎหมายและเวลา ในเกมการเมืองที่ทุกวันล้วนมีความหมายต่ออำนาจรัฐ
ที่มาประกอบเนื้อหา : เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


