posttoday

กกต.แจง "แก้รัฐธรรมนูญ" ยกเป็นนโยบายพรรคได้ แต่ต้องไม่ชี้นำ

17 ธันวาคม 2568

“กกต.” แจงหาเสียงประชามติได้เป็นนโยบาย ยกแก้รัฐธรรมนูญเป็นนโยบายพรรคได้ แต่ต้องไม่ชี้นำ ชี้! ตั้งเวทีดีเบตได้แต่ต้องเท่าเทียม

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีส่งคำถามประชามติมานั้นตามากื ห า ลักแล้วจะสามารถจัดให้มีพร้อมวันเลือกตั้งหรือไม่ ว่า ยังไม่ตกลงอะไร เพราะเมื่อวานนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีหนังสือแจ้งมติครม.มาแล้ว ซึ่งเป็นนักหนังสือแจ้งตามมาตรา 15 ที่ระบุว่าหากมีการทำประชามติครม. ต้องแจ้งเรื่องให้ กกต. เตรียมเอกสารส่งให้ประชาชน ซึ่งระบุว่ามีชื่อเรื่อง เหตุผล สาระสำคัญ ขั้นตอน แต่ยังไม่ได้เริ่มแบบ 100% ซึ่งต้องรอกว่า 15 วัน ตามกฏหมายเพราะนายกรัฐมนตรีจะเป็นคนประกาศการออกเสียงประชามติ ว่าจะตรงกับการเลือกตั้งหรือไม่นั้นอยู่ที่คณะรัฐมนตรี 

 

เมื่อถามว่าถ้าหากดูตามหลักนั้นการทำประชามติสามารถทำได้พร้อมกับการเลือกตั้งหรือไม่ นายแสวง ระบุว่า ทำได้ถ้าดูตามกฎหมายเพราะเวลาทำประชามติจะมีอยู่สองเวลาถ้าหากทำประชามติเดี๋ยวเดียวโดยไม่กำหนดถึงวันเลือกตั้งเวลาก็จะเป็น 90-120 วัน แต่หากจะทำพร้อมกับการเลือกตั้งนั้นหลักก็ต้องบอกว่าไม่น้อยกว่า 60-150 วัน หัวข้อข้อยกเว้นว่าหากคณะรัฐมนตรีอาจเห็นต่างจากเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อประหยัดงบประมาณหรือจำเป็นก็อยู่ที่คณะรัฐมนตรีว่าจะเป็นคนกำหนดวันไหน แต่สิ่งที่กฎหมายกำหนดนั้นว่าต้องหารือกับกกต. ก็ต้องหารือว่ามีเวลาทำงานทันหรือไม่ในเวลาการเผยแพร่เอกสารและความคิดเห็นซึ่งได้ให้ข้อมูลที่มีการปรึกษาหารือไปแล้ว

ทั้งนี้ยืนยันว่ากกต.มีความพร้อม แต่ทางรัฐบาลจะคิดอย่างไรนั้นตนไม่สามารถตอบแทนได้ ซึ่งหากจัดพร้อมกับการเลือกตั้งจะประหยัดงบประมาณ

 

เมื่อถามถึงกรอบการหาเสียงของพรรคการเมือง กับการทำประชามติที่ยังค่อมกันอยู่นั้น นายแสวงกล่าวว่า การหาเสียงคือการหาคะแนนให้ประชาชนเลือกพรรคตัวเองหรือผู้สมัคร ส่วนการทำประชามติคือการให้สาระสำคัญหรือประเด็นที่ให้มีการออกเสียงประชามติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในประเด็นที่มีการออกเสียงประชามติ เป็นเรื่องสาระสำคัญของประชามติไม่ใช่การหาเสียง เป็นเรื่องข้อมูลและความรู้ซึ่งในมาตรา 15 นั้นควรที่จะขอให้มีการจัดทำประชามติต้องทำข้อมูลมาให้ตนซึ่งส่งมาให้แล้ว ที่จะส่งให้ทุกครัวเรือน รวมถึงการแสดงความคิดเห็น ที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นชอบการแสดงความคิดเห็นก็ต้องใช้เวลาและไปออกเสียง

 

เมื่อถามย้ำว่าหากพรรคการเมืองคิดแคมเปญการหาเสียง เลือกพรรคเลือกเบอร์จะเห็นด้วยกับประชามติทำได้หรือไม่ นายแสวงยืนยันว่าทำได้ เพราะประเด็นหาเสียงเป็นการเสนอแนวทางหรือนโยบายพรรคการเมือง เสนอได้แต่เวลาขึ้นเวทีประชามติเราต้องพูดเฉพาะเนื้อหาไม่ใช่การหาเสียงซึ่งจะแยกกันชัด โดยในข้อมูลที่ส่งมาให้นั้นต้องไม่เป็นการชี้นำแต่ต้องเป็นกลาง แต่การแสดงความคิดเห็นเป็นความคิดเห็นจะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ฝ่าย เราต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างทัดเทียมกัน ซึ่งการ แสดงความคิดเห็นนั้นชี้นำอยู่แล้วแต่ข้อมูลที่สภาทำมาให้ถ้าการทำประชามติเกิดจากรัฐสภารัฐสภาก็จะเป็นคนทำเอกสารมาให้ตน ซึ่งข้อมูลจะชี้นำไม่ได้เพียงแต่เป็นการให้ข้อมูลกับประชาชนว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร 

เมื่อถามว่าผู้สมัคสามารถแสดงความคิดเห็นระหว่างปราศรัยได้หรือไม่นั้น นายแสวงกล่าวว่า หากเป็นเรื่องหาเสียงประเด็นประชามตินั้น สามารถนำไปหาเสียงได้ แต่หากเป็นเวทีการแสดงความคิดเห็นซึ่งในหนังสือระบุไว้ว่าให้ กสทช. ให้ทั้งสื่อของรัฐและของเอกชนจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจจะมีความสับสนเพราะตอนนี้มีสองเรื่องเดินไปคู่กัน 

 

 

เมื่อถามถึงความชัดเจนว่าหากเวทีหาเสียงของพรรคการเมืองสามารถบอกได้หรือไม่ว่าควรเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับประชามติ นายแสวงกล่าวว่า บอกนโยบายว่าอยากแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งสามารถพูดได้แต่ เวทีประชามติคนขึ้นพูดไม่ใช่พรรคการเมืองแล้วเป็นของฝ่ายที่แสดงความคิดเห็น โดยมีการลงทะเบียนหากพรรคการเมืองอยากพูดก็ต้องไปลงทะเบียนเป็นฝ่ายเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ แต่อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกันก็ได้

 

 

เมื่อถามว่าการที่พรรคการเมืองจะนำเรื่องไหนไปพูดบนเวทีหาเสียงขอบเขตจะพูดอย่างไรได้บ้างนั้น นาย แสวงกล่าวว่า ต้องเสนอเป็นนโยบายพรรคว่าเสนอการแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ใช่บอกว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งหากย้อนไปในการเลือกตั้งที่ผ่านมามีพรรคการเมืองใช้การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการหาเสียงซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ถ้าไปตั้งเวทีรณรงค์เพื่อให้มีการเห็นด้วยหรือเห็นด้วยนั้นก็ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายและต้องระมัดระวัง

 

ทั้งนี้ พรรคการเมืองต้องคำนึงถึงการเลือกตั้งก่อน ไม่ใช่เวทีหาเสียงซึ่งเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญได้แต่จะให้เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบนั้นไม่ได้ ส่วนการจัดรายการทีวีและให้ตัวแทนนักการเมืองมาพูดว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้นั้นจะมีการชี้แจงเรื่องนี้ เพราะกฎหมายประชามติไม่เหมือนกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายประชามติออกให้จัดเวทีแสดงความคิดเห็นโดยเท่าเทียมกัน คนที่จะพูดได้คือฝ่ายที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ถ้าหากพูดในกรอบกฎหมายก็ต้องลงทะเบียน ซึ่งสามารถลงทะเบียนขึ้นเวทีได้เพราะทุกคนมีสิทธิ์

 

ตนขอย้ำว่าอย่าไปรณรงค์ให้คนเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบซึ่งหากบอกว่าอยากทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็อาจใช้ถ้อยคำที่ใกล้เคียงกันถ้าหากมีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญซึ่งความหมายก็อาจสื่อไปในลักษณะนั้นแต่พูดได้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญซึ่งอาจจะเห็นชอบหรือๆไม่เห็นชอบนั้นเป็นการรณรงค์ไปแล้ว 

 

เมื่อถามถึงถึงกรณีแนวทางคำถามที่รัฐสภาส่งหรือคณะรัฐมนตรีเห็นชอบนั้นกกต.จะมองอย่างไร นายแสวงกล่าวว่า ครม. ส่งคำถามมาแล้วซึ่งเราก็อยู่ในระหว่างการเพิ่งได้รับว่าคำถามเป็นอย่างไร ซึ่งหน่วยงานที่จะทำประชามติไม่ใช่กกต. เพราะคนที่จะทำประชามติคือหน่วยงานซึ่งระบุเอาไว้ว่าเกิดจากไหนไหน ซึ่งกำหนดชัดและให้หน่วยงานนั้นทำตามมาตรา 15 เพราะกกต. มีหน้าที่รับอย่างเดียวคือส่งมติกับคำถามมา

 

 

ส่วนงบประมาณนั้นต้องดูกับทางสำนักงบประมาณ เพราะกฎหมายต้องให้คุยกับคณะรัฐมนตรีซึ่งเกิดจากหน่วยงานที่ไม่ใช่กกต. ส่วนหากแยกกันก็จะคูณสอง เพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 53 ล้านคน ตกประมาณหลักหมื่นล้าน แต่หากเป็นรวมกันจะเหลือแปดพันกว่าล้านบาทเท่านั้น

 

 

ส่วนเงื่อนไขที่จะทำให้การเลือกตั้งกระทำประชามติไม่ใช่วันเดียวกันนั้นต้องไปถามคณะมนตรี ส่วนกรอบระยะเวลานั้นนับจากวันที่ 31 ธ.ค. ถ้าส่งมาแล้วก็เว้นไปอีกสิบห้าวัน หากการเลือกตั้งเลื่อนออกไปนั้นต้องนับหนึ่งใหม่ไม่นั้นตนมองว่ามันเป็นเพียงสมมุติฐานแต่ยืนยันว่าเลือกตั้งยังเป็นวันที่ 8 ก.พ.69

ข่าวล่าสุด

ภาพลักษณ์ประเทศสำคัญไฉน? ’สแกมเมอร์’ ทำพิษ ‘กัมพูชา’! ดีลยักษ์ Trip.com จึงต้องล้ม