"ชูวิทย์" วิจารณ์ภูมิใจไทย–ประชาชน ยึดพรรคเหนือกว่าชาติ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์สองพรรคใหญ่ ชี้ภูมิใจไทยฉีกข้อตกลงแก้รัฐธรรมนูญ ใช้เกม สว. ก่อนยุบสภาหนีซักฟอก ขณะประชาชนตัดสินใจพลาด สะท้อนการเมืองเห็นพรรคสำคัญกว่าชาติ
KEY
POINTS
- นายชูวิทย์วิจารณ์ว่าทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนต่างให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าประเทศชาติ
- ชี้ว่าพรรคภูมิใจไทยฉีกข้อตกลงแก้รัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และยุบสภาเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในภาวะวิกฤต
- กล่าวหาว่าพรรคประชาชนขาดประสบการณ์ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดที่ไปสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และไม่สามารถทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวิพากษ์สถานการณ์การเมืองไทยอย่างรุนแรง โดยระบุว่า “สิ้นหวังทั้งสองพรรค” ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน พร้อมชี้ว่าความขัดแย้งและการตัดสินใจทางการเมืองที่ผ่านมา สะท้อนชัดว่านักการเมืองให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าประโยชน์ของประเทศ
ชูวิทย์ระบุว่า พรรคภูมิใจไทยได้ฉีกข้อตกลง (MOA) ที่เคยตกลงกับพรรคประชาชนในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเปลี่ยนเกมการเมืองไปพึ่งพาเสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กำหนดเงื่อนไขให้ต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 ในการโหวต ซึ่งมองว่าเป็น “อาวุธลับ” ที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้น ขณะที่พรรคประชาชนกลับประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและมองไม่เห็นความเสี่ยงดังกล่าว
อดีตนักการเมืองรายนี้มองว่า ความผิดพลาดสำคัญของพรรคประชาชน คือการตัดสินใจสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล และเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเชื่อว่าความคาดหวังเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้จริง ทั้งที่ภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับเดิม
นายชูวิทย์ยังกล่าวหาว่า พรรคภูมิใจไทยใช้สถานะการเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารจัดการอำนาจรัฐอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การโยกย้ายข้าราชการ การใช้งบประมาณ การรวบรวม ส.ส. และเตรียมความพร้อมทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้ง ขณะที่ผลงานการบริหารประเทศกลับถูกวิจารณ์ว่าล้มเหลวในหลายประเด็น ทั้งปัญหาภาษี การจัดการแก๊งสแกมเมอร์ วิกฤตน้ำท่วม และการรับมือสถานการณ์ความมั่นคง
ในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาทวีความตึงเครียด ชูวิทย์มองว่าการตัดสินใจ “ยุบสภา” ของพรรคภูมิใจไทย เป็นการทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยอ้างเหตุไม่สามารถควบคุมเสียง ส.ว. ได้ ทั้งที่ประเทศกำลังเผชิญภาวะสงครามและการอพยพประชาชนในหลายจังหวัด
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนถูกมองว่าเป็นฝ่ายขาดประสบการณ์ทางการเมือง แม้จะได้รับคะแนนนิยมสูงจากการหาเสียง แต่กลับไม่เข้าใจกลไกอำนาจและเกมการเมืองเชิงลึก ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่สามารถใช้บทบาทฝ่ายค้านกดดันรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด นายชูวิทย์สรุปว่า ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ไม่อาจเป็นตัวเลือกที่ประชาชนไว้วางใจได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะแสดงให้เห็นชัดว่าการตัดสินใจทางการเมืองที่ผ่านมา ยึดผลประโยชน์ของพรรคเหนือประโยชน์ของชาติในยามวิกฤต


