ศึกชิงพรรคอันดับหนึ่ง ยุทธศาสตร์ประชาชนปะทะภูมิใจไทย
การเมืองไทยเร่งสู่สมรภูมิชี้ชะตา พรรคประชาชนท้าทายภูมิใจไทยแย่งตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่ง การปะทะระหว่างกระแสอุดมการณ์กับพลังบ้านใหญ่เข้มข้นก่อนเลือกตั้ง 2569
KEY
POINTS
- ศึกเลือกตั้ง 2569 คือการประชันระหว่างกระแสพรรคระดับชาติของประชาชน กับพลังบ้านใหญ่ระดับพื้นที่ของภูมิใจไทย
- พรรคประชาชนต้องแปลงกระแสให้เป็นคะแนนเขต ส่วนภูมิใจไทยต้องแปลงฐานเขตให้เป็นคะแนนบัญชีรายชื่อ
- ปัจจัยพลิกเกมคือการรวมพลังบ้านใหญ่ การเลือกแคนดิเดตนายกฯ และการไหลของคะแนนจากเพื่อไทยที่กำลังอ่อนแรง
ฉากใหญ่ของสมรภูมิการเมือง – เดิมพันตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่ง
ภูมิทัศน์การเมืองไทยกำลังหดเหลือเพียงการแข่งขันหลักระหว่าง “พรรคประชาชน” และ “พรรคภูมิใจไทย” เพื่อชิงบทบาทพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งปี 2569 ผลลัพธ์ครั้งนี้มีนัยมหาศาลต่อทั้งโครงสร้างรัฐบาล การจัดตั้งเสียงข้างมาก และการวางสมการอำนาจของประเทศในทศวรรษหน้า โดยมีฉากหลังสำคัญคือความเสื่อมถอยของพรรคเพื่อไทยที่อาจหล่นไปเป็นอันดับสาม และความอ่อนแรงของพรรคสายอนุรักษ์เดิมซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นสองพรรคนี้ขึ้นมาประจันหน้ากันเต็มรูปแบบ
ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างของการแข่งขันครั้งนี้มาจากความแตกต่างด้านฐานเสียง พรรคประชาชนมีพลัง “กระแสระดับชาติ” จากอดีตพรรคก้าวไกลที่สร้างคะแนนบัญชีรายชื่อสูงที่สุดในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยมีพลัง “ฐานเสียงระดับพื้นที่” จากเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นหรือ “บ้านใหญ่” ที่หยั่งรากลึกในกลุ่มจังหวัดสำคัญ ความต่างนี้ทำให้ทั้งสองพรรคมีโจทย์เฉพาะตัว ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในสภา
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อสัญญาณการยุบสภาเริ่มก่อตัวเร็วกว่ากำหนด ทำให้ทั้งสองพรรคเปิดเกมหาเสียงก่อนเวลา ทั้งการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี การวางกลยุทธ์เชิงเขต และการผนึกกำลังของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น ความร้อนแรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าสมรภูมิปี 2569 จะไม่ใช่ศึกปกติ แต่เป็นการต่อสู้ที่ต้องการ “คำตอบสุดท้าย” ว่าอำนาจการเมืองไทยจะขับเคลื่อนด้วยกระแสอุดมการณ์หรือด้วยโครงสร้างพื้นที่แบบบ้านใหญ่
เปิดยุทธศาสตร์คู่ชิง – จากกระแสพรรคสู่พลังบ้านใหญ่
พรรคประชาชนในฐานะแชมป์เก่า ตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ด้วยจำนวน ส.ส. ไม่ต่ำกว่า 250 ที่นั่ง โดยใช้จุดแข็งเดิมคือคะแนนนิยมระดับชาติที่เคยผลักดันอดีตพรรคก้าวไกลคว้า 151 ที่นั่ง เมื่อรวมกับการประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ทั้ง 3 คน ได้แก่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ,ศิริกัญญา ตันสกุลและวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ยิ่งตอกย้ำแนวทางที่ต้องการความชัดเจนด้านอุดมการณ์ ความต่อเนื่องของนโยบาย และการชูแบรนด์พรรคเป็นเครื่องนำชัย
ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ท้าชิงหลักด้วยพลังของ สส. เขต ที่ได้ถึง 68 ที่นั่งในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้คะแนนบัญชีรายชื่อยังเป็นจุดอ่อน แต่พรรคกลับใช้จุดแข็งด้านพื้นที่สร้างยุทธศาสตร์แบบ “ผนึกบ้านใหญ่” ในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ชลบุรี เพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ไปจนถึงภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังขยายตัวอย่างเด่นชัด พร้อมเปิดทางแคนดิเดตนายกฯ ที่สะท้อนความยืดหยุ่นและจับต้องได้ ได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล, เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และศุภจี สุธรรมพันธุ์
ความแตกต่างทางยุทธศาสตร์ของสองพรรคปรากฏชัด พรรคประชาชนต้องแปลง “กระแสพรรค” ให้ชนะคะแนนในเขตเลือกตั้ง ขณะที่ภูมิใจไทยต้องแปลง “ฐานเขต” ให้กลายเป็นคะแนนบัญชีรายชื่อผ่านกระแสพรรคและแคนดิเดตนายกฯ การเดินเกมจึงย้อนศรซึ่งกันและกัน และฝ่ายที่แก้โจทย์ของตัวเองได้สำเร็จมากกว่าจะมีโอกาสก้าวสู่ตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่ง
ประเมินที่นั่ง-เปิดแผนปฏิบัติการภูมิภาค และปัจจัยชี้ชะตาศึก 2569
พรรคภูมิใจไทยวางเป้าหมายบนตัวเลข 140 ที่นั่ง บวกลบ โดยใช้การขยายฐานใน 5 ภูมิภาคเป็นแกนหลัก ภาคใต้ตั้งเป้า 30–40 ที่นั่ง โดยประเมินว่ามีโอกาสชนะสูงถึง 20–25 ที่นั่ง จากสภาพพื้นที่ที่เปิดรับนโยบายเชิงปฏิบัติ และโครงสร้างบ้านใหญ่ที่มีความเหนียวแน่น ส่วนภาคกลางและภาคอีสานมีเป้าหมายสูงถึง 40–50 ที่นั่งต่อภูมิภาค ขึ้นอยู่กับการผสานพลังกลุ่มอำนาจเก่ากับกลุ่มการเมืองใหม่ และการแก้รอยร้าวในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น พัทลุงชุมนุมบ้านรัชกิจประการกับกลุ่มนริศ ขำนุรักษ์
ขณะเดียวกัน ภาคตะวันออกอาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญของพรรคภูมิใจไทย เมื่อมีแนวโน้มผนึกกำลัง “บ้านใหญ่–บ้านใหม่” ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งสัญญาณล่าสุดชี้ว่าฐานเสียงดั้งเดิมกำลังเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มอิทธิพลใหม่ นำไปสู่ยุทธศาสตร์ที่อาจสร้างผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย และทำให้จำนวนที่นั่งในภาคนี้สูงกว่าที่คำนวณไว้เดิม ประมาณ 15–20 ที่นั่ง
ปัจจัยชี้ขาดของศึกปี 2569 จึงประกอบด้วยความสามารถของพรรคประชาชนในการขยาย สส. เขต การสร้างกระแสพรรคของภูมิใจไทยผ่านแคนดิเดตนายกฯ รวมถึงการรวมตัวของกลุ่มบ้านใหญ่ซึ่งมีผลอย่างยิ่งในจังหวัดยุทธศาสตร์ ขณะเดียวกัน ความอ่อนแรงของพรรคเพื่อไทยอาจกลายเป็นตัวแปรที่กำหนดว่าคะแนนส่วนเกินจะไหลไปสู่ฝ่ายใดมากกว่า การแข่งขันครั้งนี้จึงเป็นบททดสอบว่า “อุดมการณ์หรือเครือข่ายพื้นที่” จะเป็นพลังจริงของการเมืองไทยยุคใหม่
ที่มา : เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


