posttoday

สัญญาณยุบสภาแรง ภูมิใจไทยปูพรมดูดบ้านใหญ่สู้ศึกเลือกตั้งปี69

24 พฤศจิกายน 2568

รัฐบาลเสียงข้างน้อยเสี่ยงแพ้ซักฟอก เปิดทางอนุทินชิงยุบสภา ภูมิใจไทยเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯสามคน ดูดบ้านใหญ่เสริมทัพ ตั้งเป้าเพิ่มที่นั่งเท่าตัวในเลือกตั้งปี69

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเสียงข้างน้อยเผชิญแรงกดดันจากศึกซักฟอกตามมาตรา 151 ซึ่งเสี่ยงแพ้มติสูง ทำให้ “ยุบสภาก่อนซักฟอก” กลายเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ที่สูญเสียน้อยกว่า
  • พรรคภูมิใจไทยใช้ช่องว่างการตีความอำนาจยุบสภา ควบคู่กับการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯครบ 3 คน และตั้งเป้าเพิ่ม ส.ส. จาก 71 เป็นราว 140 ที่นั่ง เพื่อขยับจากพรรคกลางสู่พรรคใหญ่ระดับชาติ
  • ยุทธศาสตร์ดูด “บ้านใหญ่” จากหลายจังหวัด รวมทั้งการเข้าร่วมของกลุ่มวราวุธ ศิลปอาชา และการสมานรอยร้าวในชลบุรี ทำให้ภูมิใจไทยถูกวางตัวเป็นศูนย์กลางใหม่ของเครือข่าย ส.ส. เขต ก่อนศึกเลือกตั้งปี 2569

รัฐบาลเสียงข้างน้อยกับแรงกดดันซักฟอก

แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศเข้าสู่ฤดูหนาว แต่อุณหภูมิการเมืองกลับพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เมื่อ “สัญญาณยุบสภา” ถูกปล่อยจากปากนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ท่ามกลางสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เปราะบางเป็นทุนเดิม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ทุกสายตาหันมาจับจ้องไปที่พรรคภูมิใจไทยในฐานะผู้กุมเข็มทิศเกมใหญ่ของการเมืองไทย ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีเลือกตั้ง 2569 ที่อาจมาถึงเร็วกว่ากำหนดเดิม เดดไลน์ที่พูดถึงกันในทางการเมืองคือหากมีการยุบสภากลางเดือนธันวาคม การเลือกตั้งใหม่ปลายเดือนมกราคมย่อมอยู่ในระยะเอื้อมมือ และจะทำให้รัฐบาลอนุทินกลายเป็นหนึ่งในคณะรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคหลังรัฐธรรมนูญ 2560

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งแตกต่างจากการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ตรงที่มี “การลงมติ” เป็นตัวชี้ชะตา มาตรา 151 เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านอย่างน้อยหนึ่งในห้าของสภายื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลทั้งคณะหรือเฉพาะนายกรัฐมนตรี และหากแพ้มติ ย่อมถือเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาล “ขาดความไว้วางใจ” จากสภาผู้แทนราษฎร ไม่เพียงแต่ตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่ต้องเผชิญแรงกดดัน แต่อาจลุกลามไปถึงการถูกตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของพันธมิตรทางการเมืองที่ยังเลือกยืนเคียงข้างรัฐบาลต่อไป รัฐบาลเสียงข้างน้อยย่อมรู้ดีว่า ต่อให้ชี้แจงได้ดีเพียงใด โอกาสแพ้มติในสภายังคงสูงเพราะตัวเลขเสียงไม่เอื้ออยู่แล้ว หากปล่อยให้การลงมติเดินหน้า ความพ่ายแพ้ย่อมกระทบทั้งเสถียรภาพของรัฐบาล ภาพลักษณ์ผู้นำ และความเชื่อมั่นของเครือข่ายการเมืองที่ร่วมรัฐบาล

ในมุมของพรรคภูมิใจไทย การปล่อยให้ศึกซักฟอกเต็มรูปแบบเกิดขึ้น ย่อมเท่ากับเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายค้าน “เปิดแผล” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้อมูลทุกชั้น ทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารเศรษฐกิจ นโยบายประชานิยม การจัดสรรงบประมาณ ไปจนถึงดีลการเมืองหลังเลือกตั้ง จะถูกบันทึกไว้ในสถิติการเมืองและถูกนำไปใช้เป็นกระสุนในสนามหาเสียงเลือกตั้งรอบใหม่ แม้สุดท้ายรัฐบาลจะเลือก “ชิงยุบสภา” ภายหลังการอภิปราย แต่บาดแผลทางการเมืองจากเนื้อหาที่ถูกเปิดเผยก็ยังคงอยู่ และจะถูกย้ำเตือนผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องในระหว่างการหาเสียง การเดินเข้าสู่เวทีลงมติไม่ไว้วางใจจึงใกล้เคียงกับการยอมเสี่ยง “ประหารชีวิตทางการเมือง” มากกว่าจะเป็นเพียงเกมตรวจสอบตามกลไกรัฐสภา ทำให้ทางเลือกยุบสภาก่อนการซักฟอกกลายเป็นทางออกเชิงยุทธศาสตร์ที่ดูจะสูญเสียน้อยกว่าสำหรับผู้นำรัฐบาล

สัญญาณยุบสภาแรง ภูมิใจไทยปูพรมดูดบ้านใหญ่สู้ศึกเลือกตั้งปี69

เกมยุบสภาในช่องว่างกฎหมาย และการประกาศความพร้อมของภูมิใจไทย

ชนวนสำคัญที่ทำให้ “ไพ่ยุบสภา” ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ คือข้อถกเถียงเชิงกฎหมายว่าด้วยอำนาจนายกรัฐมนตรีหลังฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก ฝ่ายหนึ่งยึดแนวคิดว่า อำนาจยุบสภาหมดลงทันทีตั้งแต่วินาทีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตติและลงนามรับเรื่อง โดยมองว่าการยื่นญัตติมีผลสมบูรณ์ในตัวเอง ขั้นตอนการตรวจสอบรายชื่อและเนื้อหาเป็นเพียงงานธุรการเท่านั้น

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่า ต้องรอจนกว่าญัตติจะผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและถูกบรรจุเข้าสู่วาระประชุมอย่างเป็นทางการ จึงจะถือว่าเริ่มจำกัดอำนาจนายกรัฐมนตรีในการยุบสภา ช่องว่างตรงนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อถกเถียงทางวิชาการ แต่กลายเป็น “หน้าต่างเวลา” ที่ทุกฝ่ายจับตามองว่าจะถูกใช้เมื่อใดและอย่างไร เพราะเพียงไม่กี่วันของการตีความต่างกัน อาจเปลี่ยนสมการจาก “ยุบสภา” ไปสู่ “เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี” ได้ทันที

 

 

ช่องว่างในการตีความนี่เองที่กลายเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ให้ฝ่ายบริหารและพรรคภูมิใจไทยขยับตัว การขู่ “ชิงยุบสภา” ก่อนญัตติซักฟอกจะถูกบรรจุวาระ จึงไม่ใช่เพียงการส่งสัญญาณกดดันฝ่ายค้าน แต่สะท้อนวิธีคิดที่เลือก “สนามเลือกตั้ง” แทน “สนามซักฟอก” ในการวัดใจประชาชน หากต้องเผชิญความเสี่ยงอยู่แล้ว

การเผชิญหน้าบนคูหาเลือกตั้งซึ่งเปิดโอกาสให้รีเซ็ตความชอบธรรม อาจคุ้มค่ากว่าการยอมถูกต้อนจนมุมในห้องประชุมสภา กระแสข่าวที่ว่า “ถ้ายื่นซักฟอกเมื่อไร นายกฯ พร้อมยุบสภาทันที” จึงทำให้บรรยากาศการเมืองตึงตัวก่อนเข้าสู่ช่วงปีใหม่มากเป็นพิเศษ และกลายเป็นแรงกดดันกลับไปยังฝ่ายค้านว่าต้องคำนวณจังหวะยื่นญัตติอย่างระมัดระวังเช่นกัน

คู่ขนานกับเกมในสภา พรรคภูมิใจไทยเร่งประกาศความพร้อมในระดับยุทธศาสตร์ ผ่านการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ 3 รายชื่อ ได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และศุภจี สุธรรมพันธุ์ การมีทีมผู้นำที่ผสมผสานระหว่างนักการเมืองอาชีพ ข้าราชการเทคนิคสายเศรษฐกิจการคลัง และอดีตซีอีโอบริษัทข้ามชาติ สะท้อนความพยายามรีแบรนด์จากพรรคขนาดกลาง ไปสู่ภาพ “พรรคใหญ่ประจำการ” ที่พร้อมบริหารประเทศเต็มตัว

ตัวเลขการเลือกตั้งที่ผ่านมาชี้ว่า ภูมิใจไทยสามารถเพิ่มจำนวน ส.ส. จากการเลือกตั้งปี 2562 มาสู่ปี 2566 ได้อีก 20 ที่นั่ง ขณะที่พรรคก้าวไกลเติบโตสูงถึง 71 ที่นั่ง ทำให้ภูมิใจไทยต้องตั้งเป้าท้าทายกว่าที่เคย คือการดันจำนวน ส.ส. จาก 71 ที่นั่งในปัจจุบันให้พุ่งขึ้นเท่าตัวแตะระดับ 140 ที่นั่งในศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ เป้าหมายดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดทั้งภาพผู้นำระดับชาติและโครงสร้าง ส.ส. เขตที่แข็งแรง ดังนั้นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและการเร่งดึงฐานการเมืองระดับจังหวัดจึงเป็นสองเสาหลักของแผนเดียวกัน

สร้างอาณาจักรใหม่ผ่านเครือข่ายบ้านใหญ่ และเดิมพันเลือกตั้ง 69

อีกด้านหนึ่ง พรรคภูมิใจไทยเดินหน้า “ปูพรมทางการเมือง” ด้วยการดึงกลุ่มการเมืองระดับจังหวัด หรือที่เรียกกันว่า “บ้านใหญ่” ให้ย้ายค่ายเข้ามาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเพชรบูรณ์ ชลบุรี โคราช ภาคใต้ ไปจนถึงเครือข่ายชาติไทยพัฒนา โดยมีแกนนำอย่างชาดา ไทยเศรษฐ์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มการเมืองดั้งเดิมกับโครงสร้างพรรคใหม่ กลุ่มเพชรบูรณ์ที่ย้ายจากพลังประชารัฐเข้ามา เสริมด้วยกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งถูกประเมินว่ามี ส.ส. ในเครือข่ายราว 14–15 คน และกลุ่มภาคใต้ที่นำโดยนิพนธ์ บุญญามณี พร้อมขุนพลอย่างนริศ ขำนุรักษ์ และชุมพล จุลใส ยิ่งทำให้โครงสร้างพรรคเริ่มมีภาพของ “อาณาจักรการเมือง” มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประกอบกับฐานเดิมในบุรีรัมย์ นครราชสีมา และอีสานตอนล่าง ภูมิใจไทยจึงกลายเป็นหนึ่งในพรรคที่มีเครือข่าย ส.ส. เขตกระจายตัวกินพื้นที่มากที่สุดพรรคหนึ่ง

สัญญาณยุบสภาแรง ภูมิใจไทยปูพรมดูดบ้านใหญ่สู้ศึกเลือกตั้งปี69

จุดเปลี่ยนที่สะท้อนภาพอาณาจักรใหม่นี้อย่างชัดเจน คือการที่"ท็อป วราวุธ" ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตัดสินใจพากลุ่ม ส.ส. หลักจากนครปฐม สุพรรณบุรี และร้อยเอ็ด มาร่วมงานกับภูมิใจไทย วราวุธชี้แจงต่อสาธารณะว่า ตระกูลศิลปอาชาไม่ได้ทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนาไปไหน ผู้ใหญ่ในพรรคยังคงขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมืองอยู่

การขยับครั้งนี้เป็นการหาช่องทางทำงานให้พี่น้องประชาชนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องปัญหาน้ำท่วมในนครปฐมและสุพรรณบุรี ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากกระทรวงและหน่วยงานส่วนกลาง

"ท็อป วราวุธ"ย้ำว่าการตัดสินใจไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นฉันทามติร่วมกันของสมาชิกที่อยู่ในพื้นที่ และหวังว่าฐานเสียงเดิมจะมองเห็น “ผลงานที่จับต้องได้” มากกว่าการยึดติดกับโลโก้พรรคการเมือง ข้อความนี้สะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างว่า ในระบบเลือกตั้งปัจจุบัน การอยู่กับพรรคใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูงมักแปลว่า “โอกาสได้งบประมาณ” ในสายตาของพื้นที่

ในเวทีเดียวกัน"ท็อป วราวุธ"ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ในระบบการเมืองยุคปัจจุบัน “พรรคเล็กไปได้ยาก” แนวโน้มของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ล้วนขับเคลื่อนด้วยพรรคหลักเพียงไม่กี่พรรค ทำให้การบริหารประเทศและการผลักดันนโยบายเดินหน้าได้ราบรื่นกว่า

การตัดสินใจย้ายค่ายจึงถูกอธิบายว่าเป็นการ “รักษามรดกการเมือง” ของตนเองให้ยังคงมีบทบาทในระดับชาติ ขณะที่อนุทินเสริมว่า ทั้งตัวเขาและศิลปอาชาก็ล้วนเติบโตมาจากรากฐานเดียวกันของพรรคชาติไทยพัฒนาในอดีต จึงไม่ใช่การหักล้างอดีต แต่เป็นการต่อยอดทุนทางการเมืองในรูปแบบใหม่ที่สอดรับกับโครงสร้างระบบเลือกตั้งปัจจุบัน ซึ่งให้รางวัลกับพรรคที่สามารถผสาน “ภาพลักษณ์ระดับชาติ” เข้ากับ “เครื่องจักรเลือกตั้งระดับจังหวัด” ได้อย่างลงตัว

ในเวลาเดียวกัน สนธยา คุณปลื้ม และสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งเคยถูกมองว่าอยู่กันคนละขั้วในการเมืองชลบุรี ก็หันมาประกาศทำงานร่วมกันภายใต้ปีกภูมิใจไทย โดยมีอนุทินเป็น “ตัวกลางสมานรอยร้าว” เจ้าตัวประกาศบนเวทีว่า อดีตที่การเมืองไทยขับเคลื่อนด้วยความแตกแยกและการเอาชนะกันด้วยฐานเสียงคนละขั้วควรต้องจบลง ผู้แทนราษฎรทะเลาะกันเท่ากับประชาชนแตกแยกกัน

การดึงคู่แข่งเก่ามาอยู่ในพรรคเดียวกันจึงเป็นสัญลักษณ์ของการรวมศูนย์พลังทางการเมือง เพื่อนำประสบการณ์กว่า 20 ปีของแต่ละกลุ่มมาใช้ในฐาน “ทีมเดียวกัน” ขณะเดียวกัน พรรคยังวางยุทธศาสตร์ภาคใต้โดยตั้งเป้าหมายเก็บให้ได้ราว 30 ที่นั่ง และใช้สูตร “คนละครึ่ง” ในชลบุรี เพื่อลดการตัดคะแนนกันเองของกลุ่มบ้านใหญ่กับขั้วการเมืองใหม่

ทั้งหมดนี้จะถูกทดสอบบนสมรภูมิเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม หากสัญญาณยุบสภาที่ถูกปล่อยออกมา กลายเป็นจริงในทางการเมือง และหากภูมิใจไทยสามารถทำให้ตัวเลข ส.ส. เข้าใกล้เป้าหมายที่วางไว้ พรรคก็จะก้าวจาก “ผู้เล่นสำคัญ” ไปสู่ “พรรคแกนจัดตั้งรัฐบาล” อย่างเต็มตัวในสมการการเมืองชุดใหม่

สัญญาณยุบสภาของรัฐบาลเสียงข้างน้อย เปิดทางให้ภูมิใจไทยเลือกสนามเลือกตั้งแทนศึกซักฟอก พร้อมใช้ยุทธศาสตร์ดูดบ้านใหญ่และเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯครบชุด ลุ้นยกระดับสู่พรรคแกนตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งปี69 เต็มที่

ที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์กับ3บก. (คลิ๊กชม)

เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง

ข่าวล่าสุด

เงินเฟ้อหนุนลดดอกเบี้ย! SET จับตา ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ดันบรรยากาศบวก