ศาลฎีกาพิพากษากลับ เก็บภาษีทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้าน
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาทจาก “ทักษิณ” หลังชนะคดีสองศาลล่าง คาดขั้นตอนออกหมายบังคับคดีใช้เวลาอีก 1–2 เดือน
KEY
POINTS
- ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป
- สั่งให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้จากนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท
- คำพิพากษาดังกล่าวถือเป็นที่สิ้นสุด หลังจากที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เคยตัดสินให้เพิกถอนการประเมินภาษี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2568 ศาลฎีกาได้พิจารณาคดีกรณีกรมสรรพากร ในฐานะจำเลย โดยมีคำพิพากษากลับในคดีภาษีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะโจทก์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะต้องมีการบังคับคดี ซึ่งอาจจะต้องมีการ ขอให้ออกหมายบังคับคดีเสียก่อน โดยอาจจะใช้เวลา ราว 1-2 เดือน ถึงจะออกหมายบังคับคดีได้
สำหรับคดีภาษีของนายทักษิณเกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯนั้น ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2566 ให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายทักษิณได้ชนะคดีนี้ในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา และล่าสุดวันเดียวกันนี้ (17 พ.ย. 2568) ศาลฎีกาได้พิพากษากลับไม่ยืนตามศาลอุทธรณ์โดยให้พิพากษาบังคับคดีเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น "ชินคอร์ป"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าวกรมสรรพากรได้เรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท จากนายทักษิณ ชินวัตร จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ โดยการดำเนินการของกรมสรรพากรได้ออกหนังสือแจ้งประเมินภาษีเมื่อปี 2560
กระทั่งมีคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง โดยมีคำพิพากษาให้นายทักษิณชนะคดี และให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ต่อมามีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ โดยพิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง กระทั่งกรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณาคดี จนที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้เรียกเก็บภาษีดังกล่าว


