คดีฮั้วสว.พลิกเป็นตลกร้าย ตั้งประธานกกต.ใหม่–พยานกลับคำ
คดีเลือกสว. กลายเป็นละครการเมืองสุดย้อนแย้ง DSI ลุยเต็มสูบ–กกต.ชะลอคดี วุฒิสภาสั่งเลือกประธานใหม่ พยานปากเอกกลับคำอ้างถูกข่มขู่ ชนศรัทธาระบบยุติธรรมสั่นคลอน
KEY
POINTS
- วุฒิสภาซึ่งเป็นผู้ถูกตรวจสอบในคดี ได้มีหนังสือสั่งการให้ กกต. จัดการประชุมเพื่อเลือกประธานคนใหม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการ
- พยานปากสำคัญในคดีได้กลับคำให้การ โดยอ้างว่าเคยถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดก่อน ทำให้ความน่าเชื่อถือของกระบวนการสั่นคลอน
- การดำเนินคดีมีความย้อนแย้ง โดย DSI เร่งสืบสวนคดีในฐานะองค์กรอาชญากรรม แต่ กกต. กลับดำเนินการล่าช้าผิดปกติ ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นอิสระ
คดี “ฮั้ว สว.” กำลังแปรเปลี่ยนจากการสืบสวนทุจริตเลือกตั้ง ไปสู่ฉากใหญ่ของโครงสร้างอำนาจไทยที่บิดเบี้ยวอย่างไม่น่าเชื่อ
ภาพที่ปรากฏในวันนี้คือความย้อนแย้งสามชั้น DSI ลุยคดีในฐานะอาชญากรรมใหญ่ กกต.เดินช้าเหมือนล็อกเวลา และวุฒิสภาผู้ถูกตรวจสอบกลับกล้าสั่งให้องค์กรตรวจสอบเปลี่ยนประธาน
ขณะเดียวกัน “พยานปากสำคัญ” กลับคำให้การ อ้างว่าถูกข่มขู่ในยุครัฐบาลก่อนหน้า ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็น “ตลกร้าย” ที่กัดเซาะหัวใจของหลักนิติธรรมไทยอย่างหนักหน่วง
DSI ลุยเต็มสูบ: คดีถูกยกระดับเป็นเครือข่ายอาชญากรรม
การที่ DSI รับคดีเป็น “คดีพิเศษ” เทียบเท่าองค์กรอาชญากรรมเมื่อ 15 สิงหาคม คือจุดเปลี่ยนสำคัญ—ไม่ใช่แค่ทุจริตเลือกตั้ง แต่เป็นเครือข่ายที่โยงการเงิน เดินเครือข่าย และมีการสมคบระดับประเทศ ข้อมูลที่ DSI เปิดเผยชี้ชัดว่าเรื่องนี้ใหญ่กว่าที่เคยคิดมาก:
- โยง ส.ว. 138 คน
- ผู้เกี่ยวข้องภายนอก 91 คน ตั้งแต่หัวหน้าพรรค นักการเมืองท้องถิ่น ถึงอดีต ส.ส.
- ผู้ถูกสอบปากคำกว่า 400 คน
- ตรวจสอบเส้นทางการเงิน มากกว่า 1,200 รายชื่อ
DSI ขยายคดีไปถึง 45 จังหวัด ใช้ทั้งกล้องวงจรปิดและ AI ไล่เส้นเงิน แต่ก็ยังเจอ “กำแพงอิทธิพล” โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดอีสานที่พยานไม่ยอมเข้าสอบ บางแห่งออกหมายเรียก 24 ราย ไม่มีใครมาสักคนเดียว
กกต.ล่าช้า–ล่องหน: ภาพสะท้อน “ความยุติธรรมที่ตามไม่ทัน”
ในขณะที่ DSI ทำคดีอย่างอุกอาจ การทำงานของ กกต.กลับเดินช้าอย่างไม่ปกติ จนคำมั่นที่เคยพูดเองว่า “รับรองก่อน ตรวจสอบทีหลังใน 1 ปี” กลายเป็นเรื่องชวนขบขัน เพราะปัจจุบันไทม์ไลน์จริงถูกผลักไปถึง มีนาคม 2569 แล้ว
โครงสร้างการพิจารณาที่แบ่งเป็นสามชั้น คณะกรรมการสืบสวน, คณะกรรมการวินิจฉัย 90 วัน, และกกต.ชุดใหญ่ 60–90 วัน—เปิดช่องให้ “เทคนิคถ่วงเวลา” แทรกได้ทุกจุด ซึ่งสังคมตั้งคำถามตรงๆ ว่าเป็นความไร้ประสิทธิภาพหรือการเมืองกำกับอยู่เบื้องหลัง
วุฒิสภาสั่ง “เลือกประธานกกต.ใหม่” : จุดพีคของตลกร้าย
แล้วจู่ๆ วิกฤตศรัทธาก็ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน เลขาฯ วุฒิสภาออกหนังสือถึง กกต. ให้จัดประชุมเลือกประธานใหม่ พร้อมบอกชื่อผู้ร่วมประชุมครบถ้วน—รวมถึง 2 กกต.หน้าใหม่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้ง
นี่คือพฤติกรรมที่ขัดหลักสากลเต็มๆ
ผู้ถูกตรวจสอบ “ออกคำสั่ง” ถึงองค์กรตรวจสอบ
กระแสในทางการเมืองยิ่งร้อน เมื่อมีข่าวลือว่ามี “ใบสั่ง” ผลักดันชื่อ “ณรงค์” ขึ้นเป็นประธานกกต. สะท้อนภาพการพยายามควบคุมองค์กรอิสระแบบไม่เกรงใจสายตาสังคม
พยานปากเอกกลับคำ: ปมใหม่ที่เขย่าความน่าเชื่อถือคดี
อีกด้านหนึ่ง พยานสำคัญในคดี อดีต ส.ส.ขอนแก่น ส่งหนังสือถึง DSI ขอเปลี่ยนคำให้การ โดยอ้างว่า…
- ถูกข่มขู่โดยผู้มีอำนาจรัฐบาลก่อน
- รัฐบาลก่อนหน้าใช้ DSI และหน่วยงานรัฐเพื่อทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง
- พรรคภูมิใจไทยไม่เกี่ยวข้องกับการฮั้วเลือกตั้ง
- ปัจจุบันให้การใหม่ได้ เพราะ “ปลอดภัยขึ้นแล้ว”
แต่การกลับคำลักษณะนี้ถูกผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งคำถามอย่างรุนแรง เพราะคดีพิเศษมี “อัยการ” ร่วมทำสำนวนทุกขั้นตอน โอกาสที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวจะบีบขู่พยานแทบเป็นไปไม่ได้
ระบบตรวจสอบที่ถูกผู้ถูกตรวจสอบบงการ
คดีฮั้ว สว. ไม่ใช่แค่เรื่องทุจริต หากเป็นกระจกสะท้อนวิกฤตศรัทธาของระบบรัฐไทย—DSI เดินหน้าเต็มสปีด, กกต.เดินช้าเหมือนผ่อนคดี, วุฒิสภายื่นหนังสือสั่งการองค์กรอิสระ, พยานกลับคำเพราะ “กลัวอำนาจเก่า”
ทั้งหมดนี้บีบคำถามใหญ่กลับมาที่สังคมไทยว่า
กระบวนการยุติธรรมยังเป็นอิสระพอจะตัดสินคดีนี้ได้จริงหรือ?
และถ้าระบบถ่วงดุลถูกบิดเบือนจนถึงจุดที่ผู้ถูกตรวจสอบกำกับผู้ตรวจสอบได้
หลักนิติธรรมไทยจะเหลืออะไรให้ยืนอยู่ในระยะยาว?
นี่จึงไม่ใช่แค่คดี แต่เป็นสัญญาณเตือนทั้งระบบว่าประเทศกำลังเดินอยู่บน “เส้นบางๆ ระหว่างกฎหมายกับอำนาจ” และเส้นนั้นกำลังสั่นแรงขึ้นทุกวัน.
เรียบเรียง : อมรเดช ชูุสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)


