นายกฯอนุทินย้ำยุบสภา 31 ม.ค.69 เดินหน้า“คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2
นายกฯ อนุทินยืนยันกำหนดการยุบสภาตาม MOA ไม่เปลี่ยนใจ เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน เติมเงินบัตรสวัสดิการ ผลักดัน “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 ภายใน ธ.ค.68
KEY
POINTS
- ย้ำยุบสภา 31 ม.ค.69 ตามข้อตกลง MOA พรรคประชาชน ไม่เลื่อนเวลา
- เร่งขับเคลื่อน “Quick Big Win” เติมเงินบัตรสวัสดิการ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
- เตรียมเปิด “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” กระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี สร้าง After Shock
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 ที่พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 หัวข้อ “Thailand's Next Frontier: A Notional Economic Vision” ย้ำรัฐบาลชุดปัจจุบันจะเดินหน้าบริหารประเทศตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOA) กับพรรคประชาชนครบ 4 เดือน ก่อนยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569
นายอนุทินระบุว่า แม้จะมีเสียงเตือนให้เลื่อนการยุบสภาออกไป แต่รัฐบาลยืนยันจะไม่เปลี่ยนแปลงกำหนดเวลา “ต้องรักษาสัญญาไว้กับพรรคประชาชน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม” พร้อมย้ำว่าทีมรัฐมนตรีชุดนี้ทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่จำกัด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะมาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ขณะเดียวกันยังมีแผนปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชน
ในด้านการเติบโตสีเขียว รัฐบาลเดินหน้าโครงการไฟฟ้าชุมชน พัฒนาเศรษฐกิจพลังงานสะอาด และส่งเสริมการปรับตัวสู่ Green Economy เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจคุ้นชินกับพลังงานสะอาดและการแข่งขันระดับโลก
ส่วนประเด็นการฟอกเงิน นายอนุทินชี้ว่า ไทยไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่เป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค จึงตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มสแกมเมอร์ รัฐบาลจึงเตรียมออกกฎหมายและเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เช่น ปปง. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปราบปรามขบวนการดังกล่าว
นายอนุทินทิ้งท้ายว่า 3 เรื่องที่รัฐบาลโฟกัสสูงสุดในช่วงเวลาที่เหลือ คือ
- ยุบสภา 31 ม.ค. 2569
- แก้ปัญหาปากท้องประชาชน
- ผลักดัน “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” ให้เกิด After Shock ทางเศรษฐกิจภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ประชาชนเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมก่อนส่งไม้ต่อรัฐบาลใหม่
พร้อมบังคับใช้กฎหมายปราบปรามสแกมเมอร์
ส่วนประเด็นที่มีกระแสว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินนั้น นายกฯ กล่าวว่าต้องทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน ซึ่งการกระทำของแก๊งมิจฉาชีพ (scammer) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเกิดขึ้นได้ในหลายประเทศ แต่สแกมเมอร์อยู่ในประเทศที่มีระบบและพัฒนาแล้วไม่ได้ แต่จะอยู่ในประเทศที่มีช่องว่างทางกฎหมาย
ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อปราบปราม ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมด้านการบังคับใช้กฎหมายไว้แล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการวางแผนและปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกง ฟอกเงิน ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการบางส่วนเป็นเรื่องความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะได้ในขณะนี้
"ไทยไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่อยู่ตรงกลางของภูมิภาค ที่สามารถทำสแกมเมอร์ได้ ไทยมีความน่าเชื่อถือในภูมิภาค ค่าเงินบาทเป็นที่ยอมรับ ทำให้สแกมเมอร์ กลุ่มยาเสพติด การค้ามนุษย์ ทุนเทา มองไทยเป็นเป้าหมาย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมดังกล่าว พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีใครหรือหน่วยงานใดที่ใหญ่กว่ากฎหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มาเฟียหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลมาข่มขู่หรือมีอำนาจเหนือรัฐ” นายกรัฐมนตรีกล่าว


