สส.พรรคประชาชน ชี้! “30 บาทรักษาทุกที่” ต้อง สะดวก เท่าเทียม
สส.พรรคประชาชน ชี้! นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงการแพทย์ได้สะดวก เท่าเทียม ไม่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ซับซ้อน สร้างปัญหา
น.ส.ปวิตรา จิตตกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเด็นการดำเนินนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่และแนวทางแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขในกรุงเทพฯ
โดยกล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง หรือ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรค กำลังได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากสถานการณ์การเบิกจ่ายงบประมาณที่มีปัญหาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่งผลต่อกระบวนการในการขอใบส่งตัวที่ซับซ้อน เปลืองเวลา เปลืองค่าใช้จ่าย และเพิ่มภาระทั้งประชาชนและคนปฎิบัติงาน
โดยตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าระบบนี้ซับซ้อน เมื่อผู้ป่วยที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทอง จะต้องไปขอใบส่งตัวจากหน่วยปฐมภูมิ จึงจะสามารถไปรักษาต่อได้ที่หน่วยทุติยภูมิหรือโรงพยาบาล โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิการรักษาอื่น อาทิ สิทธิเบิกจ่ายตรงของข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิคนพิการ พบว่าส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่หน่วยทุติยภูมิหรือโรงพยาบาลได้โดยตรง แทบจะไม่ต้องผ่านหน่วยปฐมภูมิ นี่คือตัวอย่างความแตกต่างจุดที่หนึ่ง
น.ส.ปวิตรา กล่าวต่อไปว่า ปัญหาใบส่งตัวที่แท้จริงก็คือ ถ้าหากว่าประชาชนมีอาการป่วยประมาณ 5 โรคซึ่งคลินิกปฐมภูมิไม่สามารถรักษาได้ ทำให้ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหน่วยทุติยภูมิ ประชาชนต้องไปคลินิกปฐมภูมิเพื่อขอใบส่งตัวทั้งหมด 5 ครั้ง
หมายความว่า 1 โรค เท่ากับ 1 ครั้ง จากนั้นจึงจะมีสิทธิไปรักษาที่โรงพยาบาลตามที่หมอนัดในแต่ละรอบ แต่ละโรค โดยที่ใบส่งตัว แต่ละใบมีอายุไม่เกิน 90 วัน นั่นหมายความว่า ถ้าใน 90 วัน อาการไม่หายดี หมอต้องนัดไปหา-รักษาเพิ่มเติม เช่นโรคกระดูกเสื่อม โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ หรือกลุ่มโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่คลินิกรักษาไม่ได้ ประชาชนก็ต้องเดินทางไปมาระหว่างคลินิกปฐมภูมิ โรงพยาบาล บ้าน วนเวียนแบบนี้ไม่รู้จบ
กว่าประชาชนคนหนึ่งจะไปหาหมอได้ ยากกว่าสิทธิอื่นๆ เมื่อเทียบกัน ทำให้หาหมอได้ยากกว่าทั้งประธาน เพื่อนสมาชิก ข้าราชการสภา ไปจนถึงรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ในที่ห้องนี้ สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ กลุ่มผู้ใช้สิทธิบัตรทองซึ่งเป็นประชาชนมีจำนวนเยอะที่สุดในกรุงเทพฯ ประมาณ 3.5 ล้านคน
ถ้านับจากจำนวนประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองทั่วประเทศก็ประมาณ 47 ล้านคน และเป็นสวัสดิการพื้นฐานของคนไทยทุกคน แต่ประชาชนเหล่านี้กำลังประสบปัญหาที่เป็นสิทธิที่สร้างความเหลื่อมล้ำ เข้าถึงโรงพยาบาลได้ยากมากที่สุดกว่ากลุ่มอื่น
กลุ่มสิทธิบัตรทองส่วนใหญ่คือกลุ่มประชาชนที่เป็นกลุ่มรากหญ้า เมื่อเขาเหล่านี้เจ็บป่วย เขาแทบจะต้องหมดเงินไปกับการไปหาหมอเกือบทั้งหมด แม้ทางกระทรวงสาธารณสุขพยายามหาทางแก้ปัญหาผ่านการให้ประชาชนไปใช้สิทธิผ่านหน่วยนวัตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ อาทิ หน่วยบริการเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น ทันตกรรมชุมชนอบอุ่น แพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น เวชกรรมชุมชนอบอุ่น กายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น และร้านยาคุณภาพ
แต่กลุ่มที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเงินมากที่สุดก็คือกลุ่มคลินิกชุมชนอบอุ่นที่ยังมีปัญหาเรื่องหนี้ กับ สปสช. สุดท้ายแล้วคลินิกนวัตกรรมดังกล่าวจะประสบปัญหาเหมือนคลินิกชุมชนอบอุ่นที่เปิดไปแล้วหรือไม่
ทุกวันนี้ โรงพยาบาลมีคนไข้จำนวนเยอะจนล้น บุคลากรทางการแพทย์ทำงานไม่ทัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขส่วนใหญ่ทำงานเกินเวลาแทบทั้งสิ้น นี่เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง ที่ผ่านมากี่สมัย กระทรวงสาธารณะสุขก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เสียที
อีกทั้งปัจจุบันเริ่มมีกระแสข่าวว่าคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพฯ หลายแห่งเริ่มทยอยปิดตัวเพราะการเบิกจ่ายที่มีปัญหากับ สปสช. เรื่องนี้ถูกตั้งกระทู้ถามสดในสภานับตั้งแต่ปีที่แล้ว สมัยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ปัญหาก็ไม่ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
สะท้อนให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขของกรุงเทพฯ กำลังจะล่มหรือไม่ ตลอดจนศูนย์บริการสาธารณสุขอีก 69 แห่งก็มีแนวโน้มจะมีภาระงานมากขึ้น จะรองรับคนไข้ในกรุงเทพฯ ราว 3.5 ล้านคนได้หรือไม่
ระบบขอใบส่งตัวจากคลินิกปฐมภูมิค่อนข้างยุ่งยาก ซับซ้อน อีกทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่นกำลังทยอยปิดตัวจากภาระปัญหาเบิกจ่ายที่มีความไม่เพียงพอ และไม่ข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน กระทรวงสาธารณสุขจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรได้บ้าง
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามดังกล่าวว่า ปัญหาการส่งตัวของพี่น้องประชาชน ปัญหาการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นผู้ถือบัตรทองราว 3.5 ล้านคน มีราว 1 ล้านคนไม่มีปัญหา แต่ที่เหลือมีปัญหา ตามที่ สส. ปวิตราได้แสดงความกังวล
ทางกระทรวงสาธารณสุขได้มีการตรวจสอบและมีจุดคัดกรอง ให้เชื่อมต่อข้อมูลผู้รับบริการและจัดให้มีการแสดงตัวตน ทางรัฐบาลพยายามแก้ไขทุกเรื่องอยู่ โดยประเด็นหน่วยบริการไม่ส่งต่อ ได้มีการเชื่อมต่อถึงกันและพยายามเชื่อมโยงข้อมูลผู้รับบริการเพื่อลดปัญหาเรื่องการส่งต่อผู้ป่วย ทั้งการนัดหมาย การส่งต่อและการแสดงความพึงพอใจในการให้บริการด้วย
จากนั้น น.ส.ปวิตรา ได้ลุกขึ้นกล่าวถึงปัญหานี้อีกครั้งว่าเป็นปัญหามาเนิ่นนาน โดย สปสช. มีความขัดแย้งในตัวเอง โรงพยาบาลมีภาวะขาดทุนสะสมทั่วประเทศ รวมแล้วขาดทุนจำนวน 58 แห่ง จาก 902 แห่ง และโรงพยาบาลมีรายได้ติดลบกว่า 2 พันล้านบาท โรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ เริ่มออกมาแขวนป้ายประกาศให้เห็นว่าอยู่ในภาวะขาดทุน
แทนที่ สปสช. ทราบเรื่องดังกล่าวจะเร่งแก้ปัญหา กลับข่มขู่ผู้บริหารโรงพยาบาลให้ปลดป้ายออกเพราะกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงและขัดจรรยาบรรณของแพทย์ แบบนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ซ้ำยังทำให้สถานการณ์แย่ลงจนบุคลากรทางการแพทย์ก็ต่างออกมาชูป้าย ร่อนจดหมายเรียกร้องให้เกิดการปฎิรูป สปสช. อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ โรงพยาบาลบางแห่งต้องเปิดคลินิกพิเศษ พรีเมียมคลินิกในโรงพยาบาล เพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้กับโรงพยาบาล ถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่มีเงินทุนมาหมุนในโรงพยาบาล ทำให้สร้างความเหลื่อมล้ำสำหรับคนที่ไม่มีประกันชีวิต คนที่ที่ไม่มีเงินก็ต้องเข้ารับการรักษาที่ช่องทางธรรมดา ใครมีกำลังทุนทรัพย์มากพอก็สามารถรับบริการช่องทางพรีเมียมได้ เหล่านี้สะท้อน
ให้เห็นว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของบัตรทองที่สร้างมาตั้งแต่แรก
เหตุใด สปสช. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพจึงบริหารและดำเนินกิจการที่สร้างผลกระทบให้กับประชาชนได้ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สปสช. เขต 13 ที่มีหน้าที่ดูแลกรุงเทพมหานคร กลับบริหารจนขาดทุน และหน่วยงานที่บริหารจนขาดทุนส่วนมากมักอยู่ในกรุงเทพมหานคร
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เคยได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ว่า ไปใช้บริการคลินิกปฐมภูมิตามปกติ แต่ประชาชนบางคนกลับต้องจ่ายค่ายาด้วยตัวเอง ซึ่งปกติฟรีค่ายา ไม่ต้องจ่ายชำระ บางคนยังโดนลดจำนวนยา จากที่จะต้องทานยา 30 เม็ด ในระยะเวลา 1 เดือน กลับได้ยาตามจริงเพียงแค่ 7 เม็ดให้ทานได้แค่เพียง 1 สัปดาห์ ส่วนที่เหลือต้องไปหาซื้อทานเอง ประชาชนบางคนต้องโดนไล่ไปรับยาที่อื่น เพราะที่ให้บริการไม่มียาเบิกจ่าย เป็นต้น
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามดังกล่าวว่า รัฐบาลเพิ่งเข้ามาดูแล 1 เดือนกว่า ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้และต้องการแก้ปัญหาใน สปสช. เหมือนกับที่ สส. แจ้งมา แต่ว่าระบบ ระเบียบที่วางไว้ต้องมีหลักเกณฑ์
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็พยายามให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพที่ดี ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ระบบต่างๆ ที่บอกไป สามารถทำได้ผ่านระบบ Electronic ทำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ พยายามทำระบบ Telemedicine และพยายามดึงระบบ สปสช. เข้ามาร่วมด้วย คิดว่าอนาคตต้องมีการพูดคุยปัญหากันพอสมควร ยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปละละเลยปัญหาดังกล่าวและจะเริ่มให้ใช้บริการในเดือนมกราคม
น.ส.ปวิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับแผนที่รัฐมนตรีนำเสนอนั้น กว่าจะเริ่มใช้ก็เดือนมกราคม ช้าไปหรือไม่ สำหรับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ฝากท่านประธานไปยังรัฐมนตรี ขอให้เร่งแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จริงจัง
ทุกวันนี้พ่อแก่แม่เฒ่ายังต้องรอคิวเหมือนเดิม เพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบออนไลน์ได้ ให้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย มีสิทธิเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ได้รวดเร็ว ไม่ซับซ้อนไม่สร้างความเหลื่อมล้ำและสร้างปัญหาให้ประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่


