ศึกลงดาบสว.นันทนาเขย่าความน่าเชื่อถือสภาสูงปมตั้งองค์กรอิสระ
มติวุฒิสภาชี้ “สว.นันทนา นันทวโรภาส” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง สะเทือนกลไกตรวจสอบถ่วงดุลกลางสภาสูง จุดชนวนคำถามต่ออิสระและความโปร่งใสขององค์กรอิสระที่ สว. แต่งตั้งเอง
KEY
POINTS
- มติ สว. 130 เสียงไม่แตกแถว สะท้อนโครงสร้างกลุ่มอำนาจภายในสภาสูง
- กระบวนการพิจารณาคดี “คนขายหมู” ถูกเปรียบเทียบกับมาตรฐานจริยธรรมสองชั้น
- ความล่าช้าในคดี “ฮั้ว สว.” กระทบความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระที่ถูกแต่งตั้งโดยกลุ่มเดียวกัน
มติประวัติศาสตร์กับคำถามต่ออิสระของวุฒิสภา
มติของวุฒิสภาที่ลงความเห็นว่า สว.นันทนา นันทวโรภาส ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีกล่าวถึง “คนขายหมู” ในลักษณะดูหมิ่น กลายเป็นเหตุการณ์สะเทือนสภาสูงครั้งประวัติศาสตร์ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ส.ว. ลงมติลงโทษเพื่อนสมาชิกของตนเอง ด้วยข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมติ 130 ต่อ 0 เสียง สะท้อนเอกภาพที่แข็งแกร่งผิดปกติในกลไกซึ่งควรยืนบนหลักอิสระและการใช้ดุลพินิจส่วนบุคคล
ปรากฏการณ์นี้สร้างคำถามถึง “ความอิสระทางความคิด” ของสมาชิกวุฒิสภา ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบให้สภาสูงเป็นกลไกถ่วงดุลและตรวจสอบฝ่ายบริหาร–นิติบัญญัติ แต่ผลโหวตที่เป็นเอกฉันท์ทั้งสองรอบ ทั้งการวินิจฉัยว่าผิด และการลงมติว่าผิดอย่างร้ายแรง กลับสะท้อนภาพ “การโหวตแบบก้อนเดียว”ที่คล้ายพรรคการเมืองมากกว่ากลไกตรวจสอบในสภาสูง ซึ่งถูกคาดหวังให้เป็นผู้ใช้เหตุผลอย่างเป็นอิสระ
คำวิจารณ์จากแวดวงการเมืองเปรียบเทียบว่า สว. ในปัจจุบันกำลังมีลักษณะของ“สภาถั่วฝักยาว”ฉบับใหม่ ที่ขยับพร้อมกันภายใต้สัญญาณเดียว ผลคะแนน 130 เสียงนั้นยังใกล้เคียงอย่างยิ่งกับจำนวน ส.ว. 138 คน ที่เคยถูกโยงชื่อในคดี “ฮั้ว สว.” ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาใน กกต. ยิ่งทำให้ข้อสงสัยเรื่องการรวมกลุ่มภายในสภาสูงเข้มข้นขึ้นว่ามี “ขาใหญ่ทางการเมือง” กำกับการตัดสินใจอยู่เบื้องหลังหรือไม่
มาตรฐานจริยธรรมสองชั้นกับความเหลื่อมล้ำในการวินิจฉัย
แม้กรณี “คนขายหมู” จะเป็นประเด็นด้านจริยธรรมเชิงพฤติกรรม แต่การลงมติว่าผิด “ร้ายแรง” กลับทำให้เกิดเสียงวิพากษ์จากสังคมถึง *มาตรฐานสองชั้น* ของการตัดสินภายในวุฒิสภา เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีอื่น เช่น ส.ว. ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน หรือ ส.ว. ถูกพาดพิงกับยาเสพติดและการฝากตำแหน่งให้บุคคลใกล้ชิด กลับถูกวินิจฉัยว่า “ไม่ร้ายแรง” หรือ “ไม่ผิด” เลย
สว.นันทนา ประกาศต่อสาธารณะว่า เธอจะ “สู้จนถึงที่สุด” เพื่อพิสูจน์ว่าการดำเนินการครั้งนี้เป็นการ จัดกลุ่มผูกขาดทางการเมืองในสภาสูง มากกว่าการบังคับใช้หลักจริยธรรมอย่างเที่ยงธรรม ความเป็นเอกภาพของเสียงโหวตที่ไม่แตกแถวแม้แต่หนึ่งเสียง ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยว่า วุฒิสภาได้สูญเสีย “อิสระทางมโนธรรม” ไปแล้ว และกำลังกลายเป็นองค์กรที่ทำงานในลักษณะ “มีมติพรรคแต่ไร้พรรค”
ในทางสังคม การลงโทษด้วยเหตุแห่งคำพูด กลับถูกมองว่ารุนแรงกว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรืออำนาจหน้าที่ สะท้อนปัญหาความไม่สมดุลระหว่าง “ศีลธรรมส่วนบุคคล” กับ “จริยธรรมเชิงสถาบัน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากวุฒิสภาไม่สามารถรักษามาตรฐานเดียวในการพิจารณาได้ ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า “สภาคุณธรรม” ก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตาทางการเมือง
เงาของคดี “ฮั้ว ส.ว.” และคำถามต่อองค์กรอิสระ
ดราม่าปม“คนขายหมู” ที่ถูกส่งต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อ ได้จุดประกายคำถามใหม่ต่อระบบตรวจสอบไทย เพราะป.ป.ช.เองก็เป็นองค์กรที่วุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจแต่งตั้ง หากโครงสร้างการตรวจสอบเกิดจาก “ผู้แต่งตั้งตรวจสอบผู้แต่งตั้ง” ความน่าเชื่อถือของกระบวนการย่อมสั่นคลอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อส.ว. ชุดปัจจุบันมีข้อครหาเรื่อง“คดีฮั้ว ส.ว.”ที่ค้างอยู่ใน กกต.
คดีดังกล่าวล่าช้ามานานกว่าหนึ่งปี อยู่ในขั้นอนุกรรมการวินิจฉัยชุดที่ 36 ของ กกต.และถูกมองว่าเข้าข่าย“ประวิงเวลา” ตามมาตรา 157ทำให้กลุ่มสว.สำรอง ต้องยื่นฟ้องศาลฎีกาเพื่อให้เร่งรัดการพิจารณา นักกฎหมายจำนวนมากเห็นตรงกันว่า“ความอยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม” การยื้อเวลาในคดีที่อาจมีผลต่อความชอบธรรมของสภาสูงจึงกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อศรัทธาสาธารณะโดยตรง
ผลกระทบเชิงระบบยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ หากในอนาคตมีคำวินิจฉัยว่าคดีฮั้ว ส.ว. มีมูลจริง การตัดสินใจสำคัญ ๆ ที่สภาสูงทำมาตลอดวาระ ตั้งแต่การเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลสู่องค์กรอิสระ ไปจนถึงการพิจารณาร่างกฎหมาย อาจถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมทั้งหมด เพราะบุคคลเหล่านั้นอาจเป็น “ผลผลิตของกระบวนการที่ขาดอิสระ” ปัญหาจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ สว. รายใดรายหนึ่ง แต่คือ *วิกฤตศรัทธาทางสถาบัน* ที่ท้าทายความโปร่งใสของโครงสร้างอำนาจในระบอบประชาธิปไตยไทยโดยตรง
กรณี “สว.นันทนา นันทวโรภาส” ไม่ได้สะท้อนเพียงความขัดแย้งทางจริยธรรมส่วนบุคคล หากแต่เป็นภาพจำลองของการต่อสู้ระหว่าง “อิสระกับอำนาจรวมศูนย์” ในสภาสูงไทย การลงมติเอกฉันท์ 130 เสียงกลายเป็นคำถามใหญ่ต่ออนาคตวุฒิสภา ว่าจะยืนหยัดบนหลักคุณธรรมได้จริง หรือจะจมอยู่ในเงาของอำนาจที่ตรวจสอบกันเอง


