จับตาเพื่อไทยเลือกหัวหน้าคนใหม่ "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" เต็งหนึ่ง
สายกลางจากเชียงใหม่ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์”ถูกวางตัวเป็นหัวเรือใหญ่คนใหม่พรรคเพื่อไทย หลัง “แพทองธาร” ลาออก สะท้อนยุทธศาสตร์ประนีประนอมคุมสมดุลรุ่นเก่า–รุ่นใหม่
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ หลังแพทองธาร ชินวัตร ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
- นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างสูงจากสมาชิกพรรค
- ภารกิจสำคัญของหัวหน้าพรรคคนใหม่คือการสร้างเอกภาพภายในพรรค ปรับภาพลักษณ์ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป
พรรคในจังหวะเปลี่ยนผ่าน – ภารกิจเร่งหา “หัวเรือใหญ่”
บรรยากาศภายในพรรคเพื่อไทยในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 กำลังเข้มข้นกว่าครั้งใด หลัง “แพทองธาร ชินวัตร” ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ เพื่อเปิดทางให้พรรคเดินหน้าสู่การ “ปรับโครงสร้างผู้นำ” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยกำหนดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญในวันพรุ่งนี้ (31 ตุลาคม2568) เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเป็นทางการ
การลาออกของ “แพทองธาร” แม้สร้างแรงสั่นสะเทือนเชิงสัญลักษณ์ในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ แต่ก็ถูกมองว่าเป็น “ยุทธศาสตร์ถอยเพื่อรุก” ให้พรรคมีพื้นที่ในการปรับจังหวะและทบทวนบทบาทภายใน หลังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเฉพาะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจและการสื่อสารทางการเมือง
ในบรรดาชื่อที่ถูกเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณา “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” สส.เชียงใหม่ โดดเด่นขึ้นมาเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนนิยมภายในพรรคที่คาดว่าจะสูงถึง 95% ไม่เพียงเพราะสายสัมพันธ์เก่าแก่กับกลุ่มเชียงใหม่–เหนือ แต่ยังด้วยบุคลิกประนีประนอมที่สามารถสร้าง “สมดุลแห่งพลัง” ระหว่างขั้วอำนาจต่าง ๆ ได้อย่างนุ่มนวล
สายกลางผู้สืบทอดอุดมการณ์ – ประวัติและรากทางการเมือง
“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หรือ “หนิม” เติบโตในครอบครัวการเมืองที่มีรากฐานมั่นคง บิดา “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายการเมืองสายเหนือที่สำคัญของพรรคไทยรักไทยในอดีต เส้นทางของบิดาคือบันไดทางการเมืองที่หล่อหลอมให้ลูกชายเข้าใจโครงสร้างอำนาจและความซับซ้อนของพรรคตั้งแต่ยังเยาว์
จุลพันธ์จบปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินสมัยใหม่จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ได้รับมอบหมายบทบาทสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อน “โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของอดีตรัฐบาลแพทองธาร ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรมช.คลัง
บนเวทีสภา จุลพันธ์ มีสไตล์อภิปรายที่สุขุม ใช้ข้อมูลเชิงเทคนิค และหลีกเลี่ยงการปะทะตรง ขณะเดียวกันในพรรค เขาคือ “นักประสานกลุ่มก๊วน” ที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกสาย ทั้งกลุ่มนักการเมืองรุ่นใหญ่จากภาคเหนือ–อีสาน และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการปรับภาพลักษณ์พรรคให้เข้ายุคดิจิทัล ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกินเลยนักหากจะเรียกว่า “นักต่อภาพพรรคแบบไม่สร้างศัตรู” ซึ่งหาได้ยากในสนามการเมืองไทย
ความท้าทายใหม่ – พรรคเพื่อไทยในยุคสมดุลแห่งพลัง
หากการประชุมใหญ่วิสามัญวันที่ 31 ตุลาคมนี้ลงเอยตามคาดหมายที่ว่า“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” จะกลายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่สามประการที่ต้องเผชิญ คือ การฟื้นเอกภาพภายใน การสร้างเอกลักษณ์ทางนโยบายใหม่ และการนำพาพรรคสู่ชัยชนะในศึกเลือกตั้งปี 2569 ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งก่อนครบวาระ
โจทย์แรกคือ “การประสานรอยร้าว” ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า–ใหม่ ที่ยังมีเงาความขัดแย้งจากยุคแพทองธารและเศรษฐา โดยเฉพาะความเห็นต่างในแนวทางเศรษฐกิจแบบ “ประชานิยมเชิงเทคโนโลยี” ซึ่งจุลพันธ์ต้องหาทางวางนโยบายที่เป็นกลางและจับต้องได้ เพื่อรักษาฐานเสียงดั้งเดิมไม่ให้ไหลไปยังพรรคคู่แข่งอย่างภูมิใจไทยหรือประชาชน
โจทย์ที่สองคือ “การฟื้นภาพลักษณ์ทางการเมือง” ให้พรรคดูเป็นสถาบันการเมืองมืออาชีพมากกว่าพรรคครอบครัว โดยบุคลิกของจุลพันธ์ที่สุขุมและไม่พาดพิงฝ่ายตรงข้ามอาจเป็นคำตอบต่อเสียงวิจารณ์เดิม ๆ ขณะเดียวกัน เขายังต้องสร้างบทบาทให้คนรุ่นใหม่ในพรรคมีพื้นที่มากขึ้น เพื่อให้ภาพลักษณ์ของเพื่อไทยสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
โจทย์สุดท้ายคือ “การเตรียมศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2569” ซึ่งอาจเป็นสนามทดสอบครั้งสำคัญที่สุดของพรรคในรอบสองทศวรรษ ความสามารถในการวางยุทธศาสตร์หาเสียงที่สมดุลระหว่างความนิยมเก่ากับพลังใหม่จะเป็นตัวชี้ชะตา หากจุลพันธ์สามารถขับเคลื่อนพรรคให้หลุดจากภาพ “พรรคชินวัตร” มาเป็น “พรรคของมวลชนทุกกลุ่ม” ได้สำเร็จ เขาอาจกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “รุ่นเปลี่ยนผ่าน” ที่แท้จริงของเพื่อไทย
การขึ้นสู่ตำแหน่งของ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลภายในพรรคเพื่อไทย จากยุคอิทธิพลตระกูลชินวัตร สู่ยุคของการประนีประนอมและฟื้นเอกภาพ เพื่อเตรียมเผชิญสมรภูมิการเมืองใหม่ในปี 2569 ที่เดิมพันสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


