ศึกชิงไหวพริบในกมธ.แก้รัฐธรรมนูญ 43 คน: เกมกำหนดอนาคตประเทศ
การประชุมนัดแรกของ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นสมรภูมิการเมืองเต็มรูปแบบ — จากศึกพลิกร่างหลัก สู่การยึดเก้าอี้ประธานที่เดิมพันอนาคตประเทศ
KEY
POINTS
- พรรคประชาชนใช้ไหวพริบทางการเมืองจนสามารถผลักดันร่างของตนเองให้เป็นร่างหลักในการพิจารณา และคว้าตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มาครองได้สำเร็จ ทำให้กุมอำนาจหลักในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
- แม้พรรคประชาชนจะคุมเกมในเบื้องต้น แต่สมการอำนาจใน กมธ. 43 คนยังคงเปราะบาง โดยมีเสียงสนับสนุนที่ปริ่มน้ำ และมีกลุ่มพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถพลิกผลการลงมติได้
- คณะกรรมาธิการต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ทั้งการเร่งรัดทำงานแข่งกับกรอบเวลาที่จำกัด และความเสี่ยงทางกฎหมายจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตที่อาจทำให้กระบวนการทั้งหมดเป็นโมฆะ
ปฐมบทแห่งการต่อสู้ – เกมพลิกร่างหลักและยึดเก้าอี้ประธาน
การจัดตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางนิติบัญญัติตามกลไกสภา แต่เป็น “สมรภูมิการเมืองย่อส่วน” ที่เดิมพันถึงอนาคตประเทศ เพราะผู้ชนะในห้องประชุมนี้จะได้ครองสิทธิ์ชี้ทิศทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ — กฎหมายสูงสุดที่เป็นรากฐานของระบบการเมืองไทยในทศวรรษหน้า
แม้ในวาระรับหลักการ ร่างของพรรคภูมิใจไทยจะได้คะแนนสูงสุดถึง 629 เสียง เหนือพรรคประชาชนที่ได้ 568 เสียง แต่จุดพลิกกลับเกิดขึ้นในขั้นตอนการเลือกร่างหลักเพื่อใช้พิจารณารายมาตราในวาระที่ 2 — เมื่อร่างของพรรคประชาชน “เฉือนชนะ” ด้วยคะแนน 300 ต่อ 297 เสียง หลังจากนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ใช้ไหวพริบเสนอให้นับคะแนนใหม่แบบขานชื่อ จนเสียงพลิกกลับมาทางฝ่ายตน พร้อมแรงหนุนจากพรรคเพื่อไทยที่ร่างถูกตีตกในรอบแรก
ชัยชนะครั้งแรกนี้ถือเป็น “จุดหักเห” ของเกม เพราะทำให้พรรคประชาชนจากผู้ตามกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางกระบวนการร่างทั้งฉบับ และเมื่อเดินหน้าเข้าสู่การเลือกประธาน กมธ. นายณัฐวุฒิยังคว้าชัยชนะเหนือ นายชูศักดิ์ ศิรินิล จากเพื่อไทย ด้วยคะแนน 25 ต่อ 12 เสียง สะท้อนว่าฐานอำนาจภายใน กมธ. เริ่มเปลี่ยนขั้วอย่างชัดเจน — พรรคประชาชนไม่เพียงครอง “ร่างหลัก” แต่ยังได้ “คุมเกม” ในชั้นกรรมาธิการอย่างเต็มตัว
ชัยชนะสองชั้นนี้ทำให้พรรคประชาชนกลายเป็นแกนกลางของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งในเชิงเนื้อหาและจังหวะการเมือง ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณเตือนถึงพรรคร่วมรัฐบาลว่า “พลังเสียงในสภา” อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากขาดการประสานกลยุทธ์ในสนามกรรมาธิการ
เปิดโฉมขุนพลและแนวร่วม – ถอดรหัสอำนาจใน กมธ. 43 คน
องค์ประกอบของ กมธ. ทั้ง 43 คน คือแผนที่อำนาจทางการเมืองฉบับย่อ ที่สะท้อนทั้งการประนีประนอมและการต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย แม้พรรคประชาชนจะได้เก้าอี้ประธาน แต่การจัดสรรตำแหน่งอื่น ๆ กลับถูกวางอย่างรอบคอบเพื่อ “รักษาสมดุล” และลดแรงปะทะในระยะยาว
โครงสร้างสำคัญเริ่มจากประธานคือ ายณัฐวุฒิ บัวประทุม พรรคประชาชน ขณะที่รองประธานทั้ง 3 คน แบ่งกันระหว่าง นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์(ภูมิใจไทย),พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง(ประชาชาติ) และนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ(ส.ว.) ส่วนเลขานุการเป็นนายอนุสรณ์ แก้ววิเชียรพรรคประชาชน และโฆษก 4 คนกระจายให้ทั้ง ส.ว. และพรรคต่าง ๆ รวมถึงเพื่อไทยหนึ่งคน โครงสร้างนี้จึงถูกมองว่าเป็น “สูตรประนีประนอม” ที่ให้ทุกฝ่ายมีส่วน แต่ยังคงศูนย์อำนาจหลักไว้ในมือของพรรคประชาชน
อย่างไรก็ตาม เมื่อแยกเชิงแนวร่วมทางการเมือง พบว่ากมธ.ฝ่ายสนับสนุนร่างพรรคประชาชนมีเพียง 21 คน จากทั้งหมด 43 เสียง ประกอบด้วย กมธ.จากพรรคประชาชน 9 คน เพื่อไทย 9 คน ประชาชาติ 1 คน และ ส.ว. 2 คน
ขณะที่อีกขั้วหนึ่งคือฝ่ายภูมิใจไทยมี 18 เสียง ส่วนที่เหลือ 4 เสียงจากประชาธิปัตย์และชาติไทยพัฒนา ยังไม่เปิดจุดยืนชัดเจน ทำให้สมการอำนาจ “21 ต่อ 18” ที่เห็นเหมือนข้างมาก แท้จริงแล้วเปราะบางอย่างยิ่ง
ความเปราะบางนี้ทำให้เสียงของ กมธ. 3 คนจากประชาธิปัตย์–ชาติไทยพัฒนา กลายเป็น “ตัวแปรทองคำ” หรือ Kingmaker ที่สามารถพลิกผลได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันการที่ ส.ว. 2 คน โหวตสวนกลุ่มตัวเองในรอบก่อนหน้า สะท้อนรอยร้าวในฝ่ายวุฒิสภา และบ่งชี้ว่าการพิจารณารายมาตราจะไม่ราบรื่น การเมืองใน กมธ. ชุดนี้จึงไม่ใช่การทำงานเชิงเทคนิค แต่คือสงครามประสาทระหว่างขั้วอำนาจในและนอกสภา
การแข่งกับเวลาและกับดักกฎหมาย
แม้คณะกรรมาธิการจะจัดตั้งเสร็จเรียบร้อย แต่เส้นทางข้างหน้ากลับเต็มไปด้วยหลุมพราง ทั้งเรื่องเวลา กฎหมาย และแรงกดดันจากทุกทิศทาง กมธ. ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทันตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ หากพลาดแม้แต่เดือนเดียว การจัดประชามติอาจต้องเลื่อนไปหลังการยุบสภา หมายถึงทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
กมธ. จึงเร่งวางแผนการทำงานแบบเข้มข้น ประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน (พุธ–พฤหัสบดี) ตลอดทั้งวัน ตั้งคณะทำงานย่อยหารือประเด็นซับซ้อนล่วงหน้า และอาจเสนอให้เปิด “ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ” เพื่อเร่งรัดวาระที่ 2 ให้เสร็จก่อนสิ้นปี ทั้งหมดนี้คือ “สูตรแข่งกับเวลา” เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ได้ทันกลางเดือนมกราคม 2569
อย่างไรก็ตาม ร่างพรรคประชาชนยังเผชิญกับ “กับดักทางกฎหมาย” จากคำวินิจฉัยเก่าของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสองประเด็นเสี่ยง — (1) ที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม อาจขัดหลักที่ศาลเคยตีความไว้ และ (2) การไม่ระบุชัดห้ามแก้หมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งอาจถูกหยิบใช้เป็นเหตุยื่นตีความให้กระบวนการเป็นโมฆะได้ทุกเมื่อ
นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร โฆษก กมธ. ยอมรับว่ายังไม่มีข้อสรุปในสองประเด็นนี้ แต่ยืนยันว่าคณะจะ “ทำการบ้าน” และวางหลักประกันทางกฎหมายก่อนลงมติวาระ 2
ขณะเดียวกัน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ได้เตือนว่าหากการพิจารณาไม่เสร็จทันภายในกรอบเวลา จะเหลือทางเลือกเดียวคือ “ประชามติคำถามเดียว” เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเท่ากับทำลายโอกาสปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ
ศึกใน กมธ. 43 คน คือภาพจำลองของการเมืองไทยทั้งระบบ การต่อสู้ของยุทธศาสตร์ เสียง และเวลา พรรคประชาชนอาจคุมเกมได้ในรอบแรก แต่เส้นทางยังอีกไกล ก่อนจะถึงวันที่รัฐธรรมนูญใหม่ได้เห็นแสงจริง


