posttoday

"อนุทิน" สั่ง 3 มาตรการแก้ปัญหาชายแดนใต้ รวมกำลังปกป้องประชาชน

11 ตุลาคม 2568

"อนุทิน" สั่ง 3 มาตรการแก้ปัญหาชายแดนใต้ ย้ำให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และอธิปไตยของชาติ"

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ และแผนปฏิบัติการปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานีโดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุม

 

นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ ตนและคณะ มาตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะสถานการณ์ยังมีความอ่อนไหวและมีความท้าทาย จึงขอให้แม่ทัพภาค 4 นำความผาสุกมาสู่สังคมและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะที่ผ่านมา ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง

 

"รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับอธิปไตยของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกคน ซึ่งตนมีความผูกพันกับทุกคนในพื้นที่ตั้งแต่เป็น รมว.สาธารณสุข และ รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลก่อน ทั้งความสัมพันธ์จากหน้าที่ ความจริงใจ มิตรภาพที่ดี เป็นพี่น้องที่ทำงานอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ และอบอุ่น กองทัพ ตำรวจ ปกครอง และฝ่ายสนับสนุน จะมีความสัมพันธ์แนบแน่นในรัฐบาลของตน และในการฝึกกำลัง อส. ก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ทำให้พวกเขามีศักยภาพในการดูแลประชาชนเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของพี่น้องทหารทั้งหลาย

 

ซึ่งตนได้มอบนโยบายให้ อส. เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนบทบาทของทหารหาญในการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลชีวิตพี่น้องประชาชน เพื่อไม่ให้พี่น้องทหารต้องกังวลและห่วงในความปลอดภัยญาติพี่น้องและประชาชน ดังนั้น นับจากนี้ ยังคงขับเคลื่อนนโยบายนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ พร้อมสนับสนุนหน้าที่ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุวัตถุผระสงค์ เป้าหมาย และรักษาอธิปไตยของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใด เราจะแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้และพื้นที่อื่น ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นเอกภาพและประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ"

 

จากนั้น นายอนุทิน และคณะ ได้รับฟังรายงานสรุปแผนขับเคลื่อนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยน้อมนำหลักการตามพระราชดำริ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหา รวม 8 ด้าน ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคงและสังคม ใช้การเมืองนำการทหาร รวมทั้งการเสริมกำลังทหารด้วยกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนกระทรวงมหาดไทย (อส.) ด้วยกองร้อย อส. และ อส.ชคต. ที่เน้นปฏิบัติการเชิงรุก เสริมสร้างความเข้าใจ การพบปะประชาสัมพันธ์สร้างสันติสุข การคุ้มครองดูแลครู และนักเรียน พร้อมกำหนดตัวชี้วัดนายอำเภอในพื้นที่ในฐานะ ผอ.ศปก.ประจำอำเภอ รวมถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ

 

พร้อมทั้งรับฟังรายงานสถานการณ์จากผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) และ ศอ.บต. ซึ่ง จ.ปัตตานี ดำเนินมาตรการความปลอดภัยด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน สร้างเครือข่ายประชาชนเฝ้าระวัง โดยใช้เครือข่ายคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายในพื้นที่ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือจากกลุ่มผู้นำ 4 เสาหลัก ได้แก่ ผู้นำศาสนา, ผู้นำท้องถิ่น, ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางธรรมชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความหวาดระแวงระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ โดยใช้สื่อท้องถิ่น มัสยิด และโรงเรียน เป็นช่องทางในการสร้างการรับรู้และการสื่อสารทำความเข้าใจ

 

โดยในปี 2569 ได้กำหนดแผน 3 ด้าน คือ

 

1. เสริมความเข้มสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน เพื่อพัฒนาและยกระดับการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมที่จะรองรับการถ่ายโอนภารกิจจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่

 

2. บูรณาการความร่วมมือในการปฏิบัติงานของหน่วยกำลังในพื้นที่ให้มีความเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน โดยการจัดให้มีการประชุมวางแผนร่วมกัน และกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน

 

3. สร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืน

 

ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานเหตุการณ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 168 เหตุการณ์ โดยสถิติการเกิดเหตุมากที่สุดที่จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา ตามลำดับ และในส่วนของกองกำลังตำรวจ จชต. มีเหตุ 249 เหตุ ในส่วนของ ศอ.บต. ขับเคลื่อนภารกิจทั้งเหตุที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเหตุอาชญากรรมอื่น ๆ งานยุทธศาสตร์ งานประสานเร่งรัดพัฒนา งานบูรณาการงานบริหารและความมั่นคง และงานอำนวยการ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ได้ปฏิบัติภารกิจด้านกิจการพลเรือน การช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พิทักษ์กำลังพล บุคลากรภาครัฐ และประชาชน

 

สั่งปฏิบัติการ 3 ข้อ 

 

นายอนุทิน ได้มีข้อสั่งการเพื่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 3 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

 

1. ยกระดับงานด้านการข่าวเชิงรุก ด้วยการทำงานให้เร็วกว่าผู้ก่อเหตุหนึ่งก้าวเสมอเป็นอย่างน้อย มีการบูรณาการงานข่าวของทุกหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ เพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และหยุดยั้งแผนการต่าง ๆ ให้ได้ก่อนที่เหตุจะเกิด

 

2. บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับการคุ้มครอง ขณะเดียวกัน ผู้ที่กระทำผิดและใช้ความรุนแรงจะต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน

 

3. ผนึกกำลังทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งการตั้งจุดตรวจ การลาดตระเวน และการดูแลชุมชน ต้องประสานสอดคล้องกัน เพื่อปิดช่องว่างการทำผิดกฎหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ความปลอดภัยประชาชนต้องมาก่อน

นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อธิปไตยของชาติ เพราะฉะนั้น จึงให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า และตำรวจ ให้ความสำคัญกับภารกิจการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ โดยเฉพาะการควบคุมมิให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นลำดับต้น ๆ เพราะห้วงที่ผ่านมามีความถี่ของเหตุการณ์และการเกิดเหตุขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส และจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ช่องทางข้ามแดนต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเอื้อในการที่ผู้ก่อเหตุใช้หลบหนี ยึดมั่นว่า "ความมั่นคงที่แท้จริง คือ การที่พี่น้องประชาชน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง และรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ที่พึ่งได้อย่างแท้จริง"

 

โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง ซึ่งกองทัพรักษาพื้นที่ชายแดน อธิปไตยของชาติ แต่การเป็นที่พึ่งของจิตใจและความปลอดภัยต้องฝ่ายปกครอง ดังที่ตนได้แถลงนโยบายรัฐบาลไว้ว่า "เร่งรัดการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคได้ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน" ซึ่งความมั่นคงจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีอาชีพ มีรายได้ และเห็นว่ารัฐบาลดูแลเอาใจใส่พวกเขาอย่างแท้จริง ทำให้เขาสามารถหารายได้ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งทุกส่วนต้องทำให้ปลอดภัยที่สุดอย่างยั่งยืนเท่าที่จะทำได้ ต้องสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม ด้วยการทำให้คนต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างเชื้อชาติอยู่ด้วยกัน เฉกเช่นเมื่อครั้งตนดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ได้พบเห็นภาพที่ทำให้น้ำตาซึม คือ อิหม่ามท่านหนึ่งนวดให้กับพระภิกษุสงฆ์

 

นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เห็นชอบกรอบนโยบายการบริหารและการพัฒนาเป็นกรอบหลักในการปฏิบัติงานซึ่งเป็นกรอบที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองตามกฎหมาย จึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงและผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการแผนงานด้านการพัฒนาสอดคล้องกับแผนงานด้านความมั่นคงเพื่อเกิดผลลัพธ์มีคุณภาพ รวมถึง "กระบวนการพูดคุยสันติสุขจะเป็นส่วนสำคัญช่วยลดเหตุความรุนแรงและช่วยทำให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ในอนาคตอันใกล้"

 

จึงขอให้ทุกหน่วยงานได้สนับสนุนภารกิจของหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ โดยเฉพาะการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพูดคุยเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร

 

แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ความไว้วางใจ ความสมานฉันท์ ความสามัคคีของพวกเราจะทำให้เกิดเกราะป้องกันไม่ให้ผู้คิดร้ายต่อราชอาณาจักรไทยกล้ากระทำการใดใดต่อประเทศของเรา และภารกิจของพวกเราไม่ใช่เพียงการรักษาความสงบในชายแดนใต้ แต่เป็นการ "สร้างอนาคตใหม่ให้ชายแดนใต้" และรัฐบาลพร้อมเดินหน้าทำงานเคียงข้างทุกคนในทุกมิติ พร้อมทั้งสั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใช้ระบบ Cell Broadcast ในการแจ้งเตือนภัยความมั่นคงในพื้นที่ไปยังประชาชน

 

 

ข่าวล่าสุด

อันวาร์ ยัน ปมไทย กัมพูชา เก็บทุ่นระเบิดต้องคืบ ไม่เกี่ยวเรื่องการค้า