posttoday

รัฐบาลอนุทินเร่งประชานิยม 116 วันก่อนยุบสภาสู้ศึกเลือกตั้ง69

06 ตุลาคม 2568

รัฐบาลอนุทินเร่งเครื่อง “ประชานิยม–Quick Win” 116 วันสุดท้ายก่อนยุบสภา 31 ม.ค.69 อัดเม็ดเงิน 9.5 หมื่นล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ–บัตรสวัสดิการ–พักหนี้–โซลาร์ชุมชน ฝ่ายค้านจวกหวังผลเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลย้ำ “ช่วยจริงไม่หลอกฝัน”

KEY

POINTS

  • รัฐบาลอนุทินใช้เวลา 116 วันก่อนยุบสภา เร่งดำเนินนโยบายประชานิยมเร่งด่วนภายใต้กรอบ "Quick Win" เพื่อสร้างคะแนนนิยมสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569
  • มาตรการหลักคือการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 95,000 ล้านบาท ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น "คนละครึ่งพลัส" การพักหนี้ประชาชน และการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  • นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมให้ประชาชนเห็นก่อนเลือกตั้ง แต่ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์ว่าเป็นการใช้งบประมาณเพื่อหวังผลทางการเมืองและซื้อใจประชาชนล่วงหน้า

รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเกม “เร่งเครื่องเต็มกำลัง” หลังประกาศกลางสภาว่าจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ซึ่งเมื่อนับจากวันที่ 1 ตุลาคม เหลือเวลาเพียง 116 วัน ในการบริหารราชการแผ่นดิน — ช่วงเวลาที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองเรียกว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจเชิงเลือกตั้ง”

แม้ในทางกฎหมายยังไม่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา แต่ในทางการเมืองถือว่าเข้าสู่โหมดเตรียมสนามเลือกตั้งเต็มรูปแบบ โครงการและนโยบายที่ออกมาในช่วงนี้จึงอยู่ในลักษณะ “ประชานิยมเร่งด่วน” ใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อสร้างความนิยมในหมู่ประชาชน และรักษาฐานเสียงของพรรคน้ำเงินในทุกภูมิภาค

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าแนวทางดังกล่าวคือ “การซื้อใจล่วงหน้า” โดยไม่ผิดกฎหมายแต่ให้ความได้เปรียบทางการเมืองอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็ไม่ปฏิเสธว่าทุกโครงการต้องสร้าง “ผลลัพธ์จริง” ทันภายใน 4 เดือน เพื่อให้ประชาชนเห็นผลงานเป็นรูปธรรมก่อนเข้าสู่ช่วงรักษาการ

แนวคิดหลักของรัฐบาลคือ “ประชานิยมแบบสร้างสรรค์” – ทำทันที เห็นผลเร็ว แต่ไม่ทิ้งภาระในอนาคต นายอนุทินกล่าวในที่ประชุม ครม. ว่า “ทุกบาททุกสตางค์ต้องถึงมือประชาชน ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษงบประมาณ” และสั่งให้ทุกกระทรวงกำหนดมาตรการเร่งด่วนภายใต้กรอบ “Quick Win” พร้อมรายงานผลต่อสัปดาห์

ยุทธศาสตร์ “Quick Win 4 เดือน” ของ กระทรวงการคลัง ภายใต้การนำของ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการฯ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถูกวางไว้เป็นหัวใจหลักของรัฐบาลชุดนี้ โดยมี 5 เสาหลักคือ

  • กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
  • ลดภาระหนี้ประชาชน
  • เสริมสภาพคล่อง SMEs
  • เพิ่มการออมภาคประชาชน
  • การลงทุนเพื่ออนาคต

เอกนิติกล่าวว่า นี่คือ “มาตรการสั้นแต่ได้ผลยาว” เพราะต้องแก้ทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและโครงสร้างเศรษฐกิจที่สะสมมานาน เป้าหมายคือทำให้ GDP ไตรมาส 4 ขยายตัวมากกว่า 0.3% ที่สภาพัฒน์คาดไว้ โดยรัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 95,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาสสุดท้ายของปี

โครงการคนละครึ่งพลัส คือมาตรการเด่น ใช้งบกว่า 60,000 ล้านบาท ให้ประชาชนใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงสิ้นปี ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเดินหน้า พักหนี้ประชาชนและเสริมสภาพคล่อง SME ผ่านธนาคารรัฐ วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท โดยเน้นการแก้หนี้ครัวเรือนไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และปล่อยกู้ SME รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการ เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ผู้ถือบัตร 13.4 ล้านคน เพิ่มจาก 300 บาท เป็น 1,150 บาทต่อเดือน ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ใช้งบกว่า 22,000 ล้านบาท และสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัสได้ ถือเป็น “การกระตุ้นคู่ขนาน” ที่รัฐบาลคาดว่าจะหมุนเงินในระบบได้กว่า 200,000 ล้านบาท

มาตรการประชานิยมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกระทรวงการคลัง แต่ขยายสู่ทุกกระทรวงหลัก เพื่อให้เห็นผลทั่วประเทศภายในระยะเวลาอันสั้น

กระทรวงพลังงาน เปิดโครงการ “โซลาร์ภาคประชาชน–ชุมชน” ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ และโซลาร์สูบน้ำเกษตร 1,200 แห่ง พร้อมให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้สูงสุด 200,000 บาท มุ่งให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายระยะยาว ขณะเดียวกันยังดูแลค่าไฟและน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบค่าครองชีพ โดยเตรียมลดค่าไฟ (FT) ลงอีก 4 สตางค์/หน่วยในต้นปีหน้า

กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า 7 นโยบาย Quick Win เช่น โครงการ “ธงฟ้าลดค่าครองชีพ” 5,000 ล้านบาท ดูแลราคาพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะข้าวเปลือก พร้อมสินเชื่อชะลอการขาย 3 ล้านตัน และสินเชื่อแปรรูป 1 ล้านตัน เพื่อป้องกันราคาตก ขณะเดียวกันยังเร่งเจรจาการค้าชายแดน–FTA 18 ประเทศ เพื่อขยายตลาดส่งออก

กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้การนำของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า เน้น “3 สร้าง” คือ สร้างรายได้ (เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นพืชเศรษฐกิจ), สร้างตลาด และสร้างโอกาส โดยมีโครงการช่วยเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะถึงมือเกษตรกรกว่า 4 ล้านครัวเรือนภายในธันวาคม

ส่วน กระทรวงคมนาคม นำโดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เร่งโครงการขนาดใหญ่ เช่น ต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง (ตลิ่งชัน–ศาลายา, ศิริราช) และสายรังสิต–ธรรมศาสตร์ วงเงิน 15,000 ล้านบาท รวมถึงรถไฟทางคู่สุราษฎร์–หาดใหญ่ และโครงการทางด่วนภูเก็ต พร้อมพิจารณานโยบาย “ตั๋วร่วม–ค่าโดยสาร 20 บาททุกสาย” อีกครั้ง

แม้หลายโครงการเป็นการสานต่อจากรัฐบาลก่อน แต่ถูกบรรจุเข้าแผน Quick Win เพื่อสร้างภาพ “รัฐบาลทำงานทันที” และขยายผลในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

แม้มาตรการเหล่านี้สร้างความคึกคักในหมู่ประชาชน แต่ฝ่ายค้านตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและผลลัพธ์ในระยะยาว โดย สิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตัวแทนฝ่ายค้านชี้ว่า หลายมาตรการ “ยังไม่ชัดเจนว่าจะช่วยได้จริงกี่ราย” และ “คนละครึ่งพลัส” มุ่งหวังผลทางการเมืองมากกว่าการฟื้นเศรษฐกิจ

ฝ่ายค้านมองว่าเม็ดเงิน 60,000 ล้านบาทในโครงการดังกล่าว อาจเพียงย้ายการใช้จ่ายจากตลาดทั่วไปไปยังร้านค้าที่ร่วมโครงการ ไม่ได้สร้างมูลค่าใหม่ทางเศรษฐกิจ ต่างจากรัฐบาลที่ยืนยันว่าเม็ดเงินนี้จะหมุนเวียนในระบบได้ 2.5–5 รอบ คิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 200,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงสิ้นปี

ขณะเดียวกัน การอนุมัติงบ 800 ล้านบาทด้านความมั่นคง เพื่อ “ปกป้องประชาธิปไตย” ถูกจับตาว่าเป็นงบใช้สร้างฐานการเมืองมากกว่าภารกิจด้านความมั่นคง ขณะที่ภาคเอกชนบางส่วนชื่นชมว่า นโยบาย Quick Win ทำให้เกิดกระแสเงินหมุนในตลาดชุมชนเพิ่มขึ้นจริง

แม้หลายฝ่ายจะมองว่า “ประชานิยม 116 วัน” คือการซื้อเสียงในนามนโยบายเศรษฐกิจ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือยุทธศาสตร์การบริหาร “ระยะสั้นที่หวังผลระยะยาว” เพื่อประคองเสถียรภาพเศรษฐกิจในภาวะโลกชะลอตัว

หากรัฐบาลอนุทินสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “อยู่ดีกินดีขึ้น” แม้เพียงชั่วคราว ก็อาจกลายเป็นแต้มต่อสำคัญในการกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีก 4 ปี — นี่คือเดิมพันครั้งใหญ่ในเวลาเพียง 116 วันสุดท้ายของรัฐบาลนี้

ข่าวล่าสุด

กัมพูชายันส่ง 105 นักกีฬาลุยซีเกมส์ 2025 ย้ำกีฬาแยกการเมือง