ประชุมสภาวุ่น! “ทวี” อภิปราย “เขากระโดง-ฮั้วสว.” ชี้ ประธาน ไม่เป็นกลาง
ประชุมสภาวุ่น! “ทวี” อภิปราย “เขากระโดง-ฮั้วสว.” ชี้ ประธานมีเอี่ยวขอเปลี่ยนตัว เพราะ ไม่เป็นกลาง สส.ภูมิใจไทย โต้! ให้หยุด เหตุ ทวีถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 29 ก.ย.2568 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ลุกขึ้นอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ว่า แม้รัฐบาลจะประกาศว่าเป็นรัฐบาล 4 เดือน แต่ถ้าดูจากการแถลงนโยบายเหมือนจะขับเคลื่อนประเทศไปอีก 4 ปี โดยเฉพาะ พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณทั้งหมดมีแผนงานโครงการที่ใช้ทุกบาททุกสตางค์
สิ่งเดียวที่นายกรัฐมนตรีใช้ได้ก็คืองบกลาง เพราะฉะนั้นการแถลงนโยบายกับงบประมาณเป็นคนละเรื่องกัน จึงคิดว่าถ้าเราไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริงก็เหมือนการขายฝัน และอาจจะเรียกได้ว่านโยบายนี้เป็นนโยบายของคนโกหก หรือเป็นเรื่องโกหกของนโยบาย ซึ่งไม่ใช่เชิงตำหนิ เพราะว่าถ้ามีนโยบายแต่ไม่มีงบประมาณ แล้วจะไปตั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ หรือไปกู้ที่ผลักภาระให้ประชาชน มันยิ่งเลวร้ายใหญ่ ที่สำคัญในช่วง 4 เดือนที่จะยุบสภา รัฐบาลต้องคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำคืออะไร และสิ่งที่รัฐบาลต้องทำและไม่ควรทำอะไร และรัฐบาลต้องไม่ทำอะไร
สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือ การประกาศให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต รัฐบาลต้องทำงานประจำที่มีการบริหารงบประมาณ 3.78 ล้านล้าน ซึ่งผ่านการพิจารณาทั้งสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา งบประมาณก้อนนี้จะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ การศึกษาดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลก็ควรไปทำงานประจำให้ดีขึ้น สิ่งที่รัฐบาลต้องไม่ทำอะไรก็คือการทุจริต คือการไม่ใช้กฎหมายอยู่เหนือความยุติธรรม การไม่ใช้อำนาจไปแทรกแซง ซึ่งทั้งหมดนี้เขียนไว้ในนโยบายแล้ว
นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายด้านสังคมในข้อ 9 ว่า จะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีเหล่านี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะข้อ 9.2 ที่บอกว่าการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ในหลักความเป็นจริงกฎหมายจะดีแค่ไหนนโยบายจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่สัตย์ซื่อ ไม่ดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม กฎหมายนั้นก็ไม่มีประโยชน์สิ่งที่เราจะเห็นคือรายชื่อคณะรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกได้พูดไปแล้วว่าความสงสัยในความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตนเชื่อว่าใน 1-2 วันนี้ จะมีเพื่อนสมาชิกหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา
แต่โดยประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าอย่างน้อย 7-8 คน ที่เห็นว่ามีความห่วงใย โอกาสนี้จะหยิบเรื่องใน 4 เดือน มีเรื่องที่เกี่ยวกับเสถียรภาพของฝ่ายนิติบัญญัติฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีปฏิเสธไม่ได้
เรื่องแรกคือ ที่ดินเขากระโดงที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยกรมที่ดินมีบางคนบอกว่าเขากระโดงไม่ได้เกี่ยวกับกรมที่ดินเลยแต่เกี่ยวกับการรถไฟและกระทรวงคมนาคมแสดงว่าไม่ได้ดูคำพิพากษาซึ่งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเรามีคำพิพากษาของศาลยุติธรรม 8 ฉบับ และศาลปกครอง 1 ฉบับ ซึ่งผู้พิพากษาได้ตัดสินว่าที่ดินเขากระโดงจำนวน 5083 ไร่ 80 ตารางวา เป็นที่ดินของการรถไฟฯ การออกเอกสารสิทธิ์ไปทับที่ส่วนนี้ไม่สามารถกระทำได้
ทั้งนี้ ที่ดินของการรถไฟฯ เกิดมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 10 บอกว่าที่ดินที่เกิดมาก่อนนั้น ไม่ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน และยังบอกว่าที่หวงห้ามจะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ซึ่งเมื่อผู้พิพากษาทั้ง 24 คน ได้ผ่านการตัดสินจำนวน 9 คำพิพากษา ว่าที่ดินนี้เป็นของการรถไฟ ฯ ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานให้ วันนี้จะไปช่วงชิงที่ดินนี้มาเชียวหรือ
ซึ่งศาลที่สั่งครั้งสุดท้ายคือศาลปกครอง และคู่ความไม่ได้อุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด โดยศาลปกครองได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง 2 คืออธิบดีกรมที่ดิน
โดยระหว่างอภิปราย นายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วง พันตำรวจเอก ทวี ซึ่งในที่ประชุมมี นายมงคล สุระสัจจะ ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นายสนอง กล่าวว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่มีประเด็นเหล่านี้ ก็ไม่มีใครไปแทรกแซงอะไร ที่ดินเขากระโดงลุกขึ้นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เล่าเรื่องเก่าเก่าซ้ำซาก ยุติได้แล้ว ไม่มีใครไปแทรกแซง ตัวท่านเองต่างหากที่แทรกแซงจนศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เอาคนอย่างนี้มาพูด ตนว่าเอาประเด็นที่รัฐบาลจะทำต่อในช่วง 4 เดือน ถ้าเห็นข้อบกพร่องอะไร ให้ดูต่อไป แล้วค่อยมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พันตำรวจเอก ทวี กล่าวต่อว่า เมื่อศาลปกครองสั่งเมื่อ 30 มีนาคม 2566 บอกว่าให้ผู้ถูกฟ้องที่ 2 คืออธิบดีกรมที่ดิน ปฎิบัติตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนชัดเจนว่า รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งกรมที่ดินยินยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ด้วยการตั้งกับคณะกรรมการตามมาตรา 66 วรรค 2 แต่ไม่ไปทำตามที่ศาลปกครองสั่ง ก็คือการสำรวจแนวเขต แต่กลับไปพิพากษาคดีใหม่ ไปเอาแผนที่มา ซึ่งเรื่องทั้งหมดถูกตัดสินโดย 9 ศาลอย่างชัดเจน และศาลสุดท้ายก็ฟ้อง 5000 กว่าไร่ คณะกรรมการชุดนี้จึงทำตัวตามอำเภอใจ ไม่ได้ทำตามกฏหมาย
โดยศาลให้คำแนะนำว่าให้การรถไฟฯ หรือผู้ฟ้อง และกรมที่ดิน มาร่วมสำรวจด้วย และออกคำสั่งให้ทั้ง 2 หน่วย มาร่วมสำรวจและต้องเสียงบประมาณ แต่ปรากฏว่าเมื่อ 21 ตุลาคม 2567 อธิบดีกรมที่ดินสั่งยุติ ทั้งที่การรถไฟกับผู้สำรวจกำลังสำรวจอยู่ จนทำเสร็จ ซึ่งถ้าทำเสร็จตามกฏหมายมาตรา 61 เซ็นชื่อหมดแล้วเหลือเพียงการเพิกถอน ซึ่งสามารถทำได้ในวันรุ่งขึ้น นี่จึงเป็นเหตุที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และ รมว.และมหาดไทย จึงมาดูว่า ยังไม่ได้ปฏิบัติตามกฏหมายให้ครบ และไม่บังคับตามคำพิพากษา
โดยเมื่อ 27 สิงหาคม 2568 ผู้ว่าการรถไฟฯ คนปัจจุบัน เห็นว่างานธุรการยังไม่เรียบร้อย จึงไปประชุมกับผู้สำรวจ และรับรองแนวเขต อันนี้คือเรื่องจบแล้ว มีหน้าที่แค่เพิกถอน ระหว่างนี้มีผู้ไปร้องและพบว่าสนามช้างอารีนา มีร่องรอยของการไปสร้างทับที่สาธารณะ ก็มีคนมาร้องทุกข์ผู้ว่าการรถไฟฯ ทางผู้ว่าการรถไฟฯ ก็ไปร้องทุกข์ในวันที่ 3 กันยายน 2568 และมีการเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 กันยายน 2568 ผู้ว่าการรถไฟฯ ก็เซ็นหนังสือยืนยันกับกรมที่ดิน แต่ทราบหรือไม่ว่าหลังจากที่มีนายกรัฐมนตรี ทางกระทรวงมหาดไทยไปสั่งยุติ
ต่อมา นายสนอง ได้ลุกขึ้นประท้วงอีกครั้งว่า เรื่องนี้คนเค้ารู้กันทั่ว จากผู้ที่ฟ้อง 35 ราย ทางกรมที่ดินได้เพิกถอนสิทธิ์ ขณะนี้การแถลงข่าวของการรถไฟฯ ทราบว่าการรถไฟฯ จะฟ้องเป็นรายบุคคล เป็นรายแปลง ก็ปล่อยให้ศาลดำเนินการไป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ที่กำลังอภิปราย พันตำรวจเอก ทวี) เลย เพราะฉะนั้นขอให้ยุติได้แล้ว
โดยนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ กล่าวว่าการประชุมรัฐสภามีข้อบังคับของการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อ 47 กรณีที่สมาชิกรัฐสภาผู้ใดต้องการประท้วงว่ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับ ให้ยืนและยกมือขึ้น และบอกด้วยว่าผู้กำลังอภิปรายทำผิดข้อบังคับข้อไหน แต่ผู้ประท้วงยกมือแล้วก็กล่าวโดยไม่ได้อ้างถึงการผิดข้อบังคับ ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานก็ได้วินิจฉัย ให้มีการอภิปรายต่อ จึงขอให้ประธานวินิจฉัยและปฏิบัติตามข้อบังคับข้อ 5 (4) ด้วย
นายสนอง จึงตอบไปว่า ตนประท้วงตามข้อบังคับที่ 45 อภิปรายวนเวียนซ้ำซาก ฟุ่มเฟือย
จากนั้น นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าข้อบังคับข้อที่ 45 การอภิปรายต้องอยู่ในประเด็นที่วาระวันนี้คือการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพราะฉะนั้นสมาชิกคนใดที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย หรือมีข้อแนะนำ ติติงก็ตามวาระวันนี้ ส่วนเรื่องอื่นที่นำเรื่องอดีตมาพูด เอาเรื่องที่แล้วมามาพูด แต่ตอนที่อยู่ด้วยกันก็ไม่เห็ยพูดอะไรเลย
สุดท้าย ประธานในประชุม ได้วินิจฉัยว่า ตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้บริหารราชการแผ่นดิน จึงขอให้อภิปรายตรงประเด็น และเป็นประเด็นที่อยู่ในการแถลงนโยบายอย่ายกประเด็นที่แล้วมา
พันตำรวจเอก ทวี จึงกล่าวต่อว่า พี่ตนพูดว่านโยบายจะไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็จะยืนยันว่าประโยชน์ทางการเมืองคือ นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และไปมีบ้านอยู่เลขที่ 30/2 หมู่ 4 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และยังมีที่ดินและธุรกิจมากมาย ซึ่งเมื่อผู้พิพากษา 24 คน และคณะกรรมการตามมาตรา 66 เข้าเป็นกรรมการ วันดีคืนดีไปเป็นรองผู้ว่าฯ ยะลา ซึ่งมีอาวุโสต่ำสุด แล้วก็ไปหักล้างคำพิพากษาที่วินิจฉัยมาแล้ว
ปัจจุบันทราบว่าไปเป็นรองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ ดังนั้นการที่นายกฯ บอกว่าจะไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ตนเห็นคือมีผลกระทบต่อภาพรวมต่อความเสียหายของการรถไฟฯ ต้องสูญเสียที่ดิน 5083 ไร่ คิดเป็นเงินหมื่นล้าน และปล่อยให้โฉนดเป็นโมฆะ ทำให้กลุ่มบุคคลต่างๆเข้ามาจัดหาผลประโยชน์ แทนที่จะสาธารณสมบัตินี้จะเป็นของแผ่นดิน เป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐ ซึ่งตนคิดว่าคำพิพากษาในพระปรมาภิไทยเป็นคำพิพากษาที่ทรงคุณค่า แต่ท่านกลับให้หน่วยงานไปตีความตามอำเภอใจ และเป็นเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นทั้งหมด ต่อมาก็เกิดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านพูดแล้วว่าจะไม่ใช้อำนาจอยู่เหนือกฎหมาย หรือรับใช้การเมือง จึงขอเตือน อีกทั้งยังมีการละเลยรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่ตนต้องอภิปราย
อีกเรื่องหนึ่ง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับประธาน นายมงคล) ด้วย ซึ่งตนไม่มีอคติ แต่จะพูดบนพื้นฐานว่าเรื่องนี้มันกระทบต่อเสถียรภาพ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร คือการให้ได้มาซึ่งวุฒิสภา เกิดขึ้นเมื่อ 26 มิถุนา 2567 ตนไม่ได้กล่าวหาประธาน แต่ในช่วงที่ตนเป็นคณะกรรมการคดีพิเศษ ก็อยากจะเล่า
ต่อมา นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ทั้งเรื่องเขากระโดง และ ฮั้ว สว. พวกตนฟังเรื่องนี้หลายรอบแล้ว และตนลุกขึ้นประท้วงในข้อบังคับที่ 45 ซึ่งต้องอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นที่ปรึกษากันอยู่ และข้อ 47 คำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด ตนทนฟังมาแต่ไม่ได้ลุกขึ้นประท้วง เพราะมีเพื่อนสมาชิกประท้วงไปแล้ว ซึ่งประธานก็วินิจฉัยไปแล้วว่าเรื่องที่กำลังอภิปรายกันอยู่คือเรื่องของการแถลงนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งพวกตนก็เป็นฝ่ายค้านมาได้ 2 เดือน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน แม้แต่เล็กน้อย การที่พูดถึงเรื่องนิติธรรมก็เพราะว่ามันมีปัญหาแบบนี้ ที่มีการใช้อำนาจบริหารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการเมือง นายกฯ จึงไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้ จึงขอประธานวินิจฉัย
ที่มา : เนชั่น


