posttoday

ตั้งรัฐบาลอนุทินสะดุด ท่ามกลางเกมอำนาจ-ความลับการเมือง

16 กันยายน 2568

การจัดตั้ง ครม. อนุทินสะดุด ทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี แรงกดดันฝ่ายค้าน และเงื่อนไขเบื้องหลังจากเครือข่ายเนวินที่ค้ำยันรัฐบาล

KEY

POINTS

  • การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกิดความล่าช้าเนื่องจากการตรวจสอบคุณสมบัติและจริยธรรมของบุคคลที่ถูกเสนอชื่ออย่างเข้มข้น
  • การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสะท้อนถึงเกมอำนาจและการต่อรองเบื้องหลัง โดยมีบุคคลอย่างนายเนวิน ชิดชอบ เข้ามามีอิทธิพลสูง
  • รัฐบาลมีความลับที่ช่วยค้ำยันเสถียรภาพ คือคะแนนเสียงสนับสนุนในสภาที่มากกว่าที่ปรากฏ (280 เสียง) ซึ่งทำให้ฝ่ายค้านล้มได้ยาก

รัฐบาลใหม่ที่ก้าวเดินบนเส้นทางไม่ราบเรียบ

การจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำลังเป็นที่จับตามองอย่างเข้มข้น ทั้งเพราะความล่าช้าในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเพราะปมการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีหลายรายที่กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ขณะเดียวกันยังมีเงื่อนไข “สายล่อฟ้า” และแรงกดดันจากฝ่ายค้านที่พร้อมใช้ทุกเวทีเพื่อท้าทายความมั่นคงของรัฐบาลชุดนี้

แต่ท่ามกลางความตึงเครียด รัฐบาลอนุทินกลับมี “ความลับ” ทางการเมืองที่ช่วยค้ำยันเก้าอี้ คือโครงสร้างคะแนนเสียงและเครือข่ายอำนาจที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ หากวิเคราะห์เชิงลึกจะเห็นทั้ง ปัญหาเชิงโครงสร้าง, การต่อรองเบื้องหลัง และอิทธิพลของบุคคลที่สาม ซึ่งล้วนเป็นตัวแปรสำคัญกำหนดอนาคตรัฐบาลนี้

ความล่าช้าและความไม่ชัดเจน: ครม. ที่ยังไม่ลงตัว

หนึ่งในภาพสะท้อนความเปราะบางคือ ความล่าช้าในการประกาศ ครม. ใหม่ ที่เกินกำหนดจนถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก เหตุหลักมาจากการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อ ซึ่งบางรายติดปัญหาเกณฑ์ทหารและข้อกังขาด้านจริยธรรม ส่งผลให้การจัดทำบัญชีรายชื่อเกิดความล่าช้า

แม้นายกฯ อนุทินพยายามยืนยันว่าจะ เร่งเสนอรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายโดยเร็ว แต่กระบวนการภายในกลับเต็มไปด้วยการเจรจาระหว่างพรรคร่วม ทั้งเรื่องสัดส่วนตำแหน่งและทิศทางนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านจับตามองอย่างเข้มข้นว่า รัฐบาลใหม่จะตอบโจทย์ “ปากท้อง” ได้จริงหรือไม่

“สายล่อฟ้า” และสนามทดสอบแรกของฝ่ายค้าน

ครม. ชุดใหม่มีรัฐมนตรีหลายคนถูกมองว่าเป็น “สายล่อฟ้า” หรือเป้าหมายที่ฝ่ายค้านพร้อมโจมตี ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องการทุจริตในอดีต ความเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจ หรือการหนีทหาร สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นหัวข้อถล่มในสภาทันทีที่รัฐบาลเริ่มทำงาน

อีกด้าน พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านเตรียมเสนอญัตติ แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่บีบรัฐบาลให้ตอบว่า จะยึด “การปฏิรูปการเมือง” หรือ “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” เป็นภารกิจเร่งด่วนอันดับแรก ความลังเลหรือเลือกผิดจังหวะอาจเปิดช่องให้ฝ่ายค้านปักหมุดโจมตีต่อเนื่อง

บทบาทการตรวจสอบคุณสมบัติ: ครูใหญ่เบื้องหลัง

การตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีครั้งนี้ถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากมีชื่อของ ศ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตนักกฎหมายและผู้ทรงอิทธิพลด้านรัฐธรรมนูญ เข้ามามีบทบาทเสมือน “ครูปกครอง” ตรวจสอบทั้งคุณสมบัติและจริยธรรมอย่างเข้มงวด

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อสังเกตต่อรายชื่อที่ถูกผลักดันเข้ามาใน ครม. โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ เช่น

รมว.ยุติธรรม ที่มีการพูดถึง พล.ต.ท.ชาญชัย และ พล.ต.ท.รุทธพล ซึ่งถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์กับ “บุรีรัมย์”

รมช.กลาโหม อย่าง “แม่ทัพดุล” ที่ถูกมองว่าเป็น “เกลอแก้วของเนวิน” มากกว่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของนายกฯ อนุทิน

การปรากฏชื่อเหล่านี้สะท้อนว่าการแต่งตั้งไม่ได้ขึ้นกับนายกฯ เพียงลำพัง แต่มี บุคคลเบื้องหลังอย่างนายเนวิน ชิดชอบ ที่ยังคงมีอิทธิพลสูงในการกำหนดเกมการเมือง

ความลับและพลวัตทางอำนาจ: โมเดลเนวินเวอร์ชันใหม่

แม้รัฐบาลจะถูกสื่อสารว่าเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แต่ข้อเท็จจริงคือ มีเสียงสนับสนุนถึง 280 เสียงจาก 492 เสียงในสภา ซึ่งมากพอจะทำให้รัฐบาลอยู่ในฐานะ “เสียงข้างมาก” ได้ทันที ความจริงนี้คือ “ความลับของคะแนนเสียง” ที่ทำให้ฝ่ายค้านล้มรัฐบาลได้ยาก

นักวิเคราะห์เปรียบปรากฏการณ์นี้กับ “โมเดลเนวิน” ในอดีต ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณดึงนายเนวินออกจากพรรคเพื่อไทยมาสนับสนุนรัฐบาล ตอนนี้ “ผู้กองธรรมนัส” กลายเป็นตัวแปรใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาเชื่อมต่อเครือข่ายให้รัฐบาลอนุทินมั่นคงขึ้น โดยมีเนวินเป็นผู้วางหมากหลังฉาก

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรายชื่อบุคคลสำคัญอีกหลายราย เช่น เอกนิติ, บวรศักดิ์, ศุภจี, อรรถพล ที่ถูกมองว่าเข้ามาเสริมทีมด้วยสายสัมพันธ์ทางการเมืองและธุรกิจมากกว่าความสามารถเฉพาะตัว ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า รัฐบาลนี้คือ การผสมผสานระหว่างอำนาจทางการเมือง เครือข่ายธุรกิจ และการต่อรองผลประโยชน์

ปัญหาที่อาจปะทุ: ป.ป.ช. และการตรวจสอบภายนอก

อีกหนึ่งเงื่อนไขเสี่ยงคือ การลาออกของเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐบาลถวายสัตย์ หากเกิดหลังรัฐบาลเริ่มทำงาน อาจกลายเป็นชนวนปัญหาใหญ่ เพราะ ป.ป.ช. ถือคดีสำคัญหลายคดีที่อาจเกี่ยวพันกับฝ่ายการเมือง การเปลี่ยนตัวผู้บริหารหน่วยงานตรวจสอบอิสระจึงเป็นทั้งความท้าทายและความเสี่ยงที่จะกระทบเสถียรภาพของรัฐบาลอนุทิน

บทสรุป: รัฐบาลอนุทินบนเส้นทางคับขัน

รัฐบาลชุดนี้เดินเข้าสู่สมรภูมิการเมืองด้วยเงื่อนไขซับซ้อน ทั้งความล่าช้าในการจัดตั้ง ครม., ความไม่แน่นอนของบุคคลที่ถูกแต่งตั้ง, แรงกดดันจากฝ่ายค้าน และประเด็นใหญ่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มี “ความลับ” ที่ช่วยค้ำยัน คือคะแนนเสียงที่มากกว่าที่ปรากฏ และอิทธิพลของเครือข่ายการเมืองแบบ “โมเดลเนวิน”

สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลอนุทินอาจไม่ล้มง่ายในระยะสั้น แต่ก็ต้องเผชิญการทดสอบอย่างหนักในสภาและจากสังคม หากไม่สามารถบริหารความคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองได้พร้อมกัน รัฐบาลนี้อาจกลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างมากที่ไร้เสถียรภาพ” ได้ทุกเมื่อ

ข่าวล่าสุด

ประกาศ! ปิดกั้นอ่าวไทย 'สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย' เข้ากัมพูชา