เปิดประวัติ“อนุทิน”มติสภาโหวตนั่งนายกฯคนที่32ทำหน้าที่ยุบสภา
เปิดประวัตินายกฯคนที่32“อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นักธุรกิจสู่การเมือง จุดยืนลดอำนาจรัฐ ทำหน้าที่ยุบสภาตามเงื่อนไขพรรคประชาชน
KEY
POINTS
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32
- นายอนุทินมีประวัติการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา เคยเป็นนักธุรกิจและผู้บริหารในบริษัทชั้นนำก่อนเข้าสู่การเมือง
- การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกจากมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในการประชุมนัดพิเศษเรื่องด่วนที่ 8 พิจารณาบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพิ่มเติม โดยมีนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอชื่อ
ก่อนเข้าสู่วาระการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี นายไชยา นายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 แจ้งต่อที่ประชุมถึงหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการเสนอชื่อบุคคลสมควรดำรงตำแหน่งนายกฯ อ้างอิงข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 ซึ่งไม่ได้ระบุหมวดเฉพาะสำหรับการพิจารณาแต่งตั้งนายกฯ
การความเห็นชอบจากที่ประชุมให้ใช้กระบวนการเสนอชื่อบุคคล โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญคือ
- ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160
- ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองตามมาตรา 88
- พรรคที่เสนอชื่อต้องมี ส.ส. ไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนสมาชิก หรือไม่น้อยกว่า 25 คน
- ต้องมีผู้รับรองการเสนอชื่อไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกทั้งหมด หรืออย่างน้อย 50 คน
วิธีการลงคะแนนเสียงได้ทำโดยเปิดเผย และผู้ที่จะได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือไม่น้อยกว่า 247 เสียง
เส้นทางชีวิตของนายอนุทิน นายกรัฐมนตรีคนที่32 เริ่มจากการศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ ต่อด้วย Worcester Academy สหรัฐฯ และจบวิศวกรรมอุตสาหการจาก Hofstra University
หลังจบการศึกษา เริ่มงานที่ Mitsubishi Corporation นิวยอร์ก ก่อนหวนกลับไทยบริหารธุรกิจครอบครัว และก้าวสู่ผู้บริหารในหลายบริษัทใหญ่ เช่น ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง และ ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จนได้รับการยอมรับในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่
เข้าสู่สนามการเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินย้ำจุดยืนยึดมั่นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมผลักดันแนวคิด “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” และทำงานแบบ “พูดแล้วทำ” โดยเคยเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมาแล้วในปี 2562 และ 2566
สำหรับประวัติของนายอนุทิน "โพสต์ทูเดย์" เรียบเรียงประวัติมาจาก เฟซบุ๊กของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีการโพสต์ภาพประวัติแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 โดยก่อนหน้านั้น ทางพรรคประชาชนได้แถลงว่าจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯจากพรรคภูมิใจไทย ภายใต้เงื่อนไข 5ข้อ ประกอบด้วย
1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว
4.เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
5.พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
หาก นับจากวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่สภาโหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ กำหนด 4 เดือนจะสิ้นสุดประมาณ ต้นเดือนมกราคม 2569 ดังนั้น การยุบสภามีแนวโน้มต้องเกิดขึ้น ก่อนสิ้นเดือนมกราคม 2569 ตามเงื่อนไขการเมืองและคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้


