posttoday

ประชาชนมาก่อน กองทุนการออมมาแล้ว

04 กุมภาพันธ์ 2554

ในที่สุดรัฐบาลก็ผลักดันร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และวาระที่ 3 ได้อย่างไม่ยากเย็น  

ในที่สุดรัฐบาลก็ผลักดันร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และวาระที่ 3 ได้อย่างไม่ยากเย็น  

โดย...ทีมข่าวการเงิน

ประชาชนมาก่อน กองทุนการออมมาแล้ว

ในที่สุดรัฐบาลก็ผลักดันร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และวาระที่ 3 ได้อย่างไม่ยากเย็น หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งคาดว่าใช้เวลาไม่นานนัก

สวัสดิการยามชราจากการสะสมเงินของคนที่ไร้โอกาสจะผลิดอกออกผล

หากไม่มีอะไรผิดพลาด กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง คาดว่า กอช. จะมีผลใช้บังคับในเดือน เม.ย. 2554 และ กอช.จะเปิดรับสมาชิกที่เป็นแรงงานนอกระบบที่มีอยู่ 35 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศได้ในเดือน เม.ย. 2555

เล็งผลเลิศขนาดว่าจะมีคนนอกระบบ อาชีพอิสระเข้ามาเป็นสมาชิกถึง 24 ล้านคน

ขนาดกรณ์เชื่อว่าจะมีผู้สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกของกองทุนจำนวนมาก โดยในส่วนของรัฐบาลได้เตรียมเงินงบประมาณเพื่อสมทบเข้ากองทุนถึงปีละ 2.3 หมื่นล้านบาท

เพราะแรงงานนอกระบบ เกษตรกร วินมอเตอร์ไซค์ คนขับแท็กซี่ ผู้รับงานไปทำที่บ้าน หาบเร่ แผงลอย กลุ่มคุ้ยขยะ และเครือข่ายชุมชนภาคประชาสังคมจะมีโอกาสในการได้รับเงินจากการออมสะสมไว้ใช้

กอช.จึงถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญตัวหนึ่งของการสร้างสังคมสวัสดิการตามนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้ร่มเงากองทุนนี้จะทำให้แรงงานนอกระบบที่ไม่มีระบบประกันใดๆ ในชีวิตกว่าครึ่งประเทศมีหลักประกันมีเงินใช้ทุกเดือนหลังเกษียณอายุ

ว่ากันว่าหากใครเป็นสมาชิกจ่ายสมทบเดือนละ 50, 80 หรือ 100 บาท ตามความสามารถโดยจะได้รับเงินรายได้หลังเกษียณ 60 ปี อยู่ที่ประมาณเดือนละ 1,000-3,000 บาท

นี่ยังไม่นับเบี้ยสูงอายุอีกเดือนละ 500 บาท

ระบบประกัน กอช. เป็นแบบสมาชิกกองทุนต้องออมเงิน ขณะที่รัฐต้องจ่ายสมทบเพื่อจูงใจให้กับคนเข้ามาเป็นสมาชิก โดยมีการออกแบบว่าสมาชิกต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปี ไม่เกิน 60 ปี จ่ายสมทบได้ขั้นต่ำ 50 บาท ไม่เกิน 1,100 บาทต่อเดือน

ขณะที่รัฐบาลจะจ่ายสมทบในลักษณะอายุน้อยสมทบให้น้อย อายุมากสมทบให้มาก เป็นเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายสมทบตั้งแต่ 600-1,200 บาทต่อปี

รัฐบาลดีดลูกคิดแล้วหลังสมาชิกเกษียณจะมีเงินบำนาญใช้รายเดือนแน่นอน แต่สัดส่วนจะมากน้อยขึ้นอยู่กับการสมทบจ่ายเข้ากองทุน และอายุที่เข้าเป็นสมาชิก

เงินดังกล่าวอาจจะดูไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้ไม่แน่นอน เมื่อไปรวมกับเบี้ยคนชราที่รัฐบาลจะให้คนอายุ 60 ปี ขึ้นไปอีกเดือนละ 500 บาท ก็ทำให้เงินนี้พอกพูนโตขึ้นมาอีกมาก

การมี กอช. จึงถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประชาชนมีหลักประกันในยามแก่ทำงานไม่ได้

ขณะที่รัฐบาลก็เบาแรงในการดูแลคนในวัยชราที่นับว่ายิ่งมีมากขึ้น

ลำพังจะปล่อยให้คนชราพึ่งเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท ชีวิตก็อยู่ลำบาก ส่วนรัฐบาลจะจ่ายเพิ่มก็เกินกำลังสุดความสามารถกระเป๋าฉีก

นอกจากนี้ การตั้ง กอช. ยังส่งผลดีกับรัฐบาลและเศรษฐกิจของประเทศ เพราะในแต่ละปีมีเงินไหลเข้ากองทุนถึง 45 หมื่นล้านบาท ก็สามารถนำไปลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน และการลงทุนของประเทศได้อย่างสบาย

ในแง่การดำเนินนโยบายของรัฐ กอช. ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำรัฐสวัสดิการหมุนมาดูแลประชาชนได้ครบวงรอบ ตั้งแต่เกิดจนแก่

เพราะที่ผ่านมารัฐดำเนินการรัฐสวัสดิการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไม่ต้องเสียเงิน โตขึ้นเรียนฟรีอีก 12 ปี

เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ต้องพูดถึง แรงงานนอกระบบพกบัตรทองรักษาฟรีตลอดชีพ

และที่ผ่านมาในโครงการประชาวิวัฒน์มีการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมให้แรงงานนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคมราคาถูกจ่ายเดือนละ 70-200 บาท รัฐจ่ายสมทบให้อีกแรง เป็นหลักประกันในยามเจ็บป่วยแล้วขาดรายได้จะมีเงินชดเชยให้ประทังชีวิต

ขณะที่ กอช. จะเข้ามาเสริมต่อยอดหลังแรงงานนอกระบบเกษียณอายุจะได้มีเงินติดไม้ติดมือใช้ทุกเดือน ไม่ต้องเดือดร้อนลูกหลาน

เมื่อทุกอย่างมาเสริมบรรจบกัน เรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินชดเชยให้ระหว่างป่วยทำงานไม่ได้ แก่ไปไม่มีงานทำก็มีรายได้จากเบี้ยคนชรา ผสมกับเงินที่ได้จาก กอช. ถือว่าอยู่ได้อย่างสบาย

ฐานะทางสังคมของชาวบ้านทั่วไปย่อมดีขึ้น รัฐบาลเหนื่อยน้อยลง

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นรัฐบาลจะเดินหน้าเต็มสูบดันกฎหมาย กอช. นี้ออกมาให้ได้ก่อนมีการยุบสภา

เพราะหากกฎหมายมีผลบังคับก่อนการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลสามารถนำไปหาเสียงได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ตามสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนต้องมาก่อน

และแน่นอนว่า ยิ่งเป็นประชาชนคนยากจนรายได้น้อย คนด้อยโอกาส แล้วได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล และเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากรัฐสวัสดิการชุดนี้มากที่สุดแล้วไซร้ คะแนนเสียงจึงไหลมาเทมาหารัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นกอบเป็นกำแน่

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เบี้ยชราภาพ 500 บาทต่อเดือน ที่กินใจคนแก่ในแทบทุกหมู่บ้านยามนี้

เมื่อมีกระสุนคะแนนนิยมสร้างรัฐสวัสดิการตุนอยู่แล้ว การยื้อเป็นรัฐบาลอยู่ต่อไปก็เป็นกำไรของรัฐบาล

ยิ่งหากลากอยู่ได้ถึงทำงบประมาณปี 2555 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท ก็จะทำให้รัฐบาลมีจุดแข็งขึ้นอีกมาก

จึงไม่แปลกที่กรณ์ยังมองไกลไปถึงการนำกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเข้าให้ทันสภาในรัฐบาลนี้ เพราะจะเป็นช่องทางเรียกคะแนนจากรากหญ้าได้เป็นเรื่องเป็นราวอีกช่องทางหนึ่ง

เพราะนอกจากจากสังคมสวัสดิการทำให้ประชาชนเป็นสุข ยังมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาชูโรง เป็นเครื่องมือภาษีที่สร้างความเท่าเทียมในสังคม

หัวใจของภาษีที่ดิน คนรวยที่ต้องจ่ายภาษีมากให้รัฐบาลไปช่วยคนจนที่มีน้อยกว่าในสังคม ถือเป็นเรื่องกินใจรากหญ้าอดที่จะเทคะแนนให้ไม่ไหว

ตอนนี้ก็อยู่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะเร่งเครื่องเดินหน้าเอาใจปวงประชาไปได้มากน้อยขนาดไหน

เพราะถึงวันนี้ต้องบอกว่า การเป็นรัฐสวัสดิการเริ่มเติบโตเข้มแข็งผลิดอกออกผลให้ประชาชนคนจนได้ชุ่มฉ่ำแล้ว

รัฐบาลมีโอกาสโกยคะแนนเสียงจากฝ่ายตรงกันข้ามไปได้ไม่ใช่น้อย

และยิ่งนับวันก็มีแต่ยิ่งมากขึ้น โอกาสที่เป็นรัฐบาลกลับมาบริหารประเทศอีกสมัยอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ