ผ่าร่างพ.ร.บ.สันติสุข-นิรโทษฯ รัฐบาลเลื่อน กม.เอนเตอร์เทนเมนท์
เจาะลึก ร่าง พ.ร.บ.สังคมสันติสุข-นิรโทษกรรม หลังรัฐบาลเลื่อนวาระร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฟังความเห็นเพิ่ม หวังลดขัดแย้งประคองเสถียรภาพ
เมื่อวันที่ 24-25 มิถุนายน 2568 รัฐบาลไทยซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ได้มีมติร่วมกับประธานวิปรัฐบาลให้ เลื่อนวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
จากเดิมที่กำหนดจะพิจารณาเป็นวาระแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 และได้ตัดสินใจ ผลักดันร่างพระราชบัญญัติสังคมสันติสุข และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องแรกแทน
สาเหตุที่ต้องเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
รัฐบาลให้เหตุผลหลักในการเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับประชาชนเพิ่มเติมและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบในวงกว้างและมีประเด็นอ่อนไหว ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อวิจารณ์และการต่อต้านจากทั้งมวลชนนอกสภาและพรรคฝ่ายค้าน การเลื่อนกฎหมายฉบับนี้ออกไปจึงถูกมองว่าเป็นการ ลดกระแสความไม่พอใจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสมที่มีเสียงค่อนข้างปริ่มน้ำในสภา
การผลักดันร่าง พ.ร.บ. สังคมสันติสุข และร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาแทน
แทนที่จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รัฐบาลได้ตัดสินใจนำร่าง พ.ร.บ. สังคมสันติสุข และร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมขึ้นมาเป็นวาระแรกในการประชุมสภาฯ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 โดยวิปรัฐบาลให้เหตุผลว่ากฎหมายทั้งสองฉบับนี้เป็นการ ช่วยเหลือประชาชนทั่วไป และการผลักดันกฎหมายเหล่านี้จะช่วย ประคองสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาล ให้ผ่านพ้นช่วงที่เปราะบางไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
การตัดสินใจดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาล "ถอน" ร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปเลย ไม่ใช่เพียงแค่ "เลื่อน" เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เหมาะสมกับการผลักดันกฎหมายลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะเพียงแค่เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติสังคมสันติสุข
ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข มีสาระสำคัญหลักคือ การนิรโทษกรรมความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง ในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความปรองดองและลดความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเกือบสองทศวรรษ
เจตนารมณ์: มุ่งให้ผู้กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมืองพ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย รวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ช่วงเวลาครอบคลุม: โดยทั่วไปจะครอบคลุมความผิดที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2565
ประเภทความผิดที่ได้รับการนิรโทษกรรม: เน้นความผิดที่สืบเนื่องมาจากการชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งอาจรวมถึง:
- ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร (เช่น มาตรา 113, 114, 116, 117)
- ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย (เช่น มาตรา 135/1, 135/2, 135/3)
- ความผิดต่อเจ้าพนักงาน (เช่น มาตรา 136, 138, 139)
- ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน (เช่น มาตรา 209, 210-214, 215, 216)
- ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน (เช่น มาตรา 217-220, 225, 226)
ความผิดต่อร่างกาย
ข้อยกเว้น (ความผิดที่ไม่ได้รับการนิรโทษกรรม)
ร่างกฎหมายฉบับนี้มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะ ไม่นิรโทษกรรม
ให้กับผู้ที่กระทำความผิดใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
- คดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์)
- คดีทุจริตคอร์รัปชัน
- คดีอาญาร้ายแรง เช่น การฆ่าผู้อื่น หรือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ชีวิต
- สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่กำลังจะถูกพิจารณานั้นมีหลายฉบับที่เสนอโดยพรรคการเมืองต่างๆ เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน, พรรคประชาชน (เดิมคือพรรคก้าวไกล) และร่างของภาคประชาชนที่เสนอผ่านการเข้าชื่อ โดยสาระสำคัญหลักคือ การยกเว้นความผิดทางอาญาให้กับบุคคลที่กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง
วัตถุประสงค์หลัก: เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมืองพ้นจากความรับผิดทางอาญาและทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว เพื่อให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ช่วงเวลาที่ครอบคลุม: มักกำหนดกรอบระยะเวลาของเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง เช่น ระหว่างปี พ.ศ. 2548 – 2565 หรือ 2549 – 2565
ประเภทความผิดที่ได้รับการนิรโทษกรรม: โดยทั่วไปจะครอบคลุมความผิดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง เช่น ความผิดตามประกาศและคำสั่งของคณะรัฐประหาร, คดีพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร, ความผิดเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ, ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย (ที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต) ที่เกิดจากการชุมนุม, ความผิดฐานเป็นกบฏ (มาตรา 113) และความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ข้อยกเว้น (ความผิดที่ไม่ได้รับการนิรโทษกรรม): นี่คือประเด็นสำคัญที่มักมีการถกเถียงกันมากที่สุด โดยส่วนใหญ่ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมจะ ไม่นิรโทษกรรม ให้กับ
- คดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
- (ความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์) ซึ่งเป็นจุดยืนของร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติและร่างสังคมสันติสุข
- คดีทุจริตคอร์รัปชัน
- คดีอาญาร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตหรือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ชีวิต
- การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำเกินกว่าเหตุในเหตุการณ์ชุมนุมและการสลายการชุมนุม (ในบางฉบับ)
- ผู้ที่ใช้กำลังยึดอำนาจรัฐ หรือผู้ที่ทำรัฐประหาร
ข้อสังเกต: แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับใหม่โดยตรงในรอบนี้ แต่บทบาทของพรรคในฐานะพรรครัฐบาลในการผลักดันให้มีการพิจารณากฎหมายเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของการสร้างความปรองดองในอนาคต
การตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้ สะท้อนถึงความพยายามในการจัดการกับแรงกดดันทางการเมืองและประคองเสถียรภาพของรัฐบาล โดยการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในสังคม ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมากในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาฯ


