นายกฯอิ๊งค์ แถลงเดือด ลั่น! ไม่ยอมให้ใครใส่ร้าย-ขู่-กลั่นแกล้ง
นายกฯอิ๊งค์ แถลงเดือด หลังประชุมสมช.ปมขัดแย้งชายแดน ลั่น! ไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้าย-ขู่-กลั่นแกล้ง เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรี-แข็งแรงเช่นกัน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมร่วมสมช.กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาโดยระบุว่า
เรื่องแรกเป็นเรื่องของการประชุม JBC ที่ผ่านมาถือว่าเป็นผลสำเร็จ ที่ได้มีการคุยกันและได้มีการยอมรับกรอบส่วนรายละเอียดก็อย่างที่กระทรวงต่างประเทศได้แถลงไปแล้วส่วน
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของการที่ว่าเรามีการคุยกันทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับหน้างานหรือระดับนายกรัฐมนตรีวันนี้ที่ประชุมมีในเรื่องของการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เป็นทีมไทยแลนด์ของเรา
ต่อจากนี้จะให้รัฐมนตรีกลาโหมเป็นคนนำทีมรายการ monitor ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดและก็ดำเนินการต่างๆ ในเรื่องของ ICJ ประเทศไทยไม่ยอมรับในเรื่องของศาลโลกแต่ว่าตอนนี้เรามีการตั้งทีมทำงานเช่นการว่าเราจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร
และหาในเรื่องข้อมูลต่างๆว่าเราจะสามารถปกป้องประเทศของเราอย่างไรหรือว่าตอบโต้อะไรอย่างไรบ้าง เราจะต้องมีกรอบในการทำงานนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ศึกษาในเรื่องของประวัติความเป็นมากฎหมายทุกอย่างตอนนี้เรามีข้อมูลไว้หมดแล้ว และนี่ก็เป็นความคืบหน้าของการประชุมในวันนี้
ส่วนกรณีที่ทางกัมพูชาขู่ว่าหากไทยไม่เปิดด่านวันนี้ จะสั่งปิดด่านไม่ให้นำเข้าสินค้านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆแล้วในเรื่องของการปิดด่านเราไม่ได้ปิดด่าน เรากำหนดเวลาการเปิด-ปิดซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากที่มีการปะทะกันเกิดขึ้นจริงๆแล้ว
ประเทศไทยเองได้ทราบจากเพจกลาโหมของทางกัมพูชา คือเรามีการตกลงกันแล้วคุยกันแล้ว พอหลังจากมีการตกลงกันว่าจะมีการปรับกำลังใดๆก็ตามหลังจากที่ประชุมสมช.ในวันนั้น มีการมอบอำนาจให้ทางกองทัพดูว่าสถานการณ์ข้างหน้าเป็นอย่างไรเพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสถานการณ์
เมื่อเราคุยกันเรียบร้อยแล้วทางเพจของกัมพูชากลับออกมาประกาศว่าจะไม่มีการปรับกำลังเราจึงกำหนดเวลาการเปิด-ปิดด่านและเมื่อเรากำหนดเวลาในเรื่องของการเปิด-ปิดด่านแล้ว ทางกัมพูชาก็ควรจะกำหนดเวลาเช่นกัน
ต่างคนต่างกำหนดเวลาแล้วตอนนี้เองอยากจะแจ้งว่าเรามีการคุยกันที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่ตนได้คุยกับนายกกัมพูชาครั้งแรกที่มีการปะทะคือเมื่อวันที่ 28 พ.ค.
มีการหารือตกลงร่วมกันเราต้องการสันติภาพไม่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศไม่ต้องการความขัดแย้ง ต้องการรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อของทหารด้วยนี่คือสิ่งที่เห็นตรงกันก็คุยกันมาเรื่อยๆ
ตนพยายามจะคุยอยู่ในกรอบของทวิภาคีคือกรอบระหว่างประเทศที่เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันเราต้องมีความเข้าใจร่วมกันเพื่อที่จะให้เป็นไปตามกลไกของระหว่างประเทศ
แน่นอนว่ามีการคุยกันหลังไมค์แน่นอนเป็นการตกลงกันว่าอะไรอย่างไรแต่สิ่งที่สื่อสารออกมาทางโซเชียล นอกกรอบและเป็นการสื่อสารที่ไม่มืออาชีพที่ออกมาอยู่เรื่อยๆ
ทำให้เกิดความวุ่นวายในการจัดการทั้งสิ่งที่คุยกันหลังไมค์และสิ่งที่คุยกันอย่างเป็นทางการที่ฉันคิดว่าการสารแบบนี้ทำให้เกิดผลลบกับทั้ง 2 ประเทศ
เราต้องคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทั้งไทยและกัมพูชาด้วยการที่ประกาศปิดด่านเป็นการกระทำที่เกิดผลกระทบต่อประชาชนไทยและชาวกัมพูชา
ทั้งสองประเทศเรามีความห่วงใยอยู่แล้วทั้งเรื่องว่าการค้าขายตรงนั้นที่เกิดขึ้นการส่งผลไม้หากมีการปิดด่านทั้งหมดมันกระทบแน่นอนอยู่แล้วเพราะฉะนั้นเราถึงไม่ปิดด่านแต่ปรับเวลาแต่การเข้าออกของคนและสินค้าแทน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ตนแจ้งทางกัมพูชาอยู่แล้วว่าจะมีการประชุมวันนี้ก่อนเพื่อที่จะรายงานผลว่า เราจะดำเนินการอย่างไรต่อไปซึ่งตนเองตอนนี้ ได้ส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้เสนอให้มีการจัดประชุม RBCเกิดขึ้นนั่นคือการประชุมระดับกองทัพของทั้งสองประเทศว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อ
และได้เห็นข้อความที่โพสต์ใน facebook อย่างที่บอกเป็นการสื่อสารที่ไม่อยู่ในกรอบ
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกรณีท่าทีของกัมพูชาที่แสดงออกถึงความไม่จริงใจ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกในที่ประชุม JBC เรามีการประชุมด้วยกันทั้งคู่ถือว่าเป็นผลสำเร็จว่าเรายอมรับกรอบของ JBC นั่นคือการประชุมการและมีการตกลงกันว่าเราต้องการสันติภาพร่วมกันทำอย่างไรได้บ้างที่จะเกิดขึ้นจริงๆ
ในเรื่องของ JVC คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร อย่างที่กระทรวงต่างประเทศได้แถลงมาในเนื้อความทุกอย่างเราได้ชี้แจงแล้วไม่ได้ติดขัดหรือพลิกล็อคอะไรทั้งสิ้นใน JBC
เมื่อถามถึงการเล่นสงครามข่าวสารผ่านโซเชียล ของกัมพูชา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่กัมพูชาออกมาสื่อสารในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้เกิดผลดีกับทั้ง 2 ประเทศจริงๆแล้วการปล่อยข่าวหรืออะไรก็ตามอย่างข่าวหลายๆข่าวที่ออกมา
ได้มีการตกลงกันก่อนแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าวมาเพราะคนที่อยู่หน้างานและคนที่รับข่าวสาร จะตัดสินใจหรือทำอะไรควรเห็นใจคนที่อยู่หน้างานด้วยว่าตรงนั้นเป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตนที่อยู่ในสายของ command เองต้องคอยอัพเดทตลอดเวลาเช่นกัน ว่าเกิดอะไรขึ้น ณ ตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและขณะเดียวกันการที่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านใหม่ เป็นเพราะว่าในตอนแรกมีอาวุธไก่อาวุธหนักออกมาเพิ่มมากขึ้นเราจึงต้องมีการกำหนดเวลาเปิดปิดด่านเพราะประชาชนที่อยู่ตรงนั้นมีมากมายทั้ง 2 ประเทศทั้งของเขาและของเรา
การที่นำอาวุธใหญ่ออกมาเช่นนั้นหากเราไม่กำหนดเวลาเปิดปิดและหากเกิดอะไรขึ้นมาจะเกิดความเสียหายมากมายเราถึงได้กำหนดเวลาเปิดปิดด่านเพราะหากไม่มีการกระทำเช่นนั้นเราไม่หมดเวลาเปิดปิดด่านอยู่แล้วและเราอาวุฒิที่ออกมาเป็นอาวุธไกลด้วย
ผู้สื่อข่าถามต่อว่า ทำอย่างไรที่จะให้โลกรู้ว่าแผ่นดินเราใช้ทวิภาคีเราไม่ได้ขี้โกง
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การประชุม jbc ถูกจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ถึงสิ่งที่ตนได้เสนอไปว่าขอประชุมในระดับของ rbc ด้วย จะ gbc หรือ rbc ก็ได้ที่เราจะสามารถคุยกันแบบเป็น
มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เราประชุมกันและแยกย้ายสิ่งที่เราประชุมกันทั้งหมดถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรทั่วโลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราประชุมอะไรกันบ้าง
รวมถึงในวันนี้กระทรวงต่างประเทศเองก็ได้มีการเรียกประชุมทูตต่างประเทศทั้งหมดทั้งหมดบ่ายนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศเองได้คุยกับฑูตของกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนแล้ว โดยมีการเชิญมาคุย 2 คนและได้มีการกำหนดแล้วว่าต้องการอะไรอย่างไร
เราโม้มาตลอดแต่สิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขานั่นคือการสื่อสารออกสาธารณะเพราะเรา เคารพในการเจรจาระหว่างประเทศเราเคารพกรอบของคณะวิภาคีเราเคารพให้เกียรติทั้ง 2 ประเทศ
ว่าสิ่งที่คุยควรเป็นสิ่งที่เป็นทางการ และอยู่ในกรอบของทวิภาคีนั่นคือสิ่งที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสารต้องยึดกรอบของทวิภาคีเป็นสำคัญแต่ถ้ามีการสื่อสารที่official เกิดขึ้นมากมายเราก็ต้องมีการสื่อสารว่าเราไม่เคยที่จะยั่วยุหรือได้เกิดการปะทะใดๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ
"อย่างที่ดิฉันบอกคนเสพข่าวเรื่องหนึ่งคนที่อยู่หน้างานเรื่องนึง ฉันเองเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าอยู่ตรงนี้แล้วเกิดการปะทะกันที่บริเวณชายแดนแปลว่าดิฉันต้องรับรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าดิฉันจะต้องตกลงในการปะทะจะต้องมีการคุยกับทหารด้วยว่าพร้อมหรือไม่เราอยู่ในสถานะไหนเขาอยู่ในสถานะไหนไม่ใช่อยู่ๆมีเรื่องก็สามารถจุดให้ไฟมันติดได้เลย นี่คือกรอบที่เราทุกคนต้องยึด"
แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือการปล่อยประโยคอะไรออกมาที่ไม่เป็นทางการส่งผลแน่นอนย้ำอีกครั้งไม่เกิดผลดีกับทั้ง 2 ประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าทางรัฐบาลไทยจะทำอย่างไรในเมื่อทางกัมพูชาก่อน
รัฐมนตรีระบุว่า ชี้แจง คนไทยประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกองทัพที่ประชุมวันนี้เห็นตรงกันในทุกๆส่วนทางกองทัพเอง คิดเหมือนเราว่าเราต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ แต่ทำอย่างไรให้ยืดการปะทะการเสียเลือดเนื้อให้ไม่เกิดขึ้นแต่ยังคงรักษาอธิปไตยของเราไว้นี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน ทั้งรัฐบาลและกองทัพ
ใครจะปล่อยข่าวว่าตีกัน ไม่เคยตีกัน ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาลคุยกันว่าเราจะดำเนินการอย่างไรจะเคลื่อนไหวอย่างไรตนให้เกียรติกองทัพเสมอเพราะเป็นคนหน้างานและเป็นคนรู้ในเรื่องของอาวุธทุกอย่างรัฐบาลก็ต้องคุยด้วยว่าจะเอาอย่างไร
คนคุยหลังไมค์เช็กกับกองทัพทุกครั้งว่าเราจะเดินอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศของเรา กองทัพเองก็เช่นกันจะเคลื่อนไหวอย่างไรปรึกษารัฐบาลว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้กรอบของต่างประเทศทำได้หรือไม่ได้ประเทศเราเป็นเช่นนี้
เพราะฉะนั้นเอง
"ขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากันแล้วขอให้ทุกคนช่วยกัน สนับสนุน กองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเองเรารักษาอธิปไตยไว้"
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เราพูดใน message ที่มันตรง เราพูดใน message ที่มันสามารถ รู้ได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น
"เราไม่ได้ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ให้ใครมาใส่ร้าย ให้ใครมาขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นจุดนี้เองที่จะทำให้เราทุกคนรู้ว่า วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก" นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย


