สส.ปชน. จี้ รมว.เกษตรฯ ปรับทั้งระบบแก้ "นมโรงเรียน" ล่าช้า-ล้น
สส.พรรคประชาชน จี้ รมว.เกษตรฯ แก้ปัญหานมโรงเรียนล่าช้า-ล้น ปรับวิธีบริหารจัดการทั้งระบบก่อนลงนาม MOU ซื้อนมใน ต.ค. นี้
นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคประชาชน เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการแก้ไขพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. และปัญหานมโรงเรียน
โดยระบุว่า อย่าเพิกเฉย!!! เพราะแค่เป็นเรื่องนมของเด็ก เพราะนี่คืออนาคตของชาติ จะปล่อยให้เด็กดื่มนมล่าช้า ไม่ได้แม้แต่วันเดียว
ความคืบหน้าการแก้ไขพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. และปัญหานมโรงเรียน
ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม ฉบับที่ .. พ.ศ. …
โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก มีการปรับแก้ไขในหลายส่วน เช่น - เพิ่มอำนาจของมิลค์บอร์ด
- กำหนดให้องค์ประกอบของมิลค์บอร์ดมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนมากขึ้น
- การเปิดเผยข้อมูลการประชุมสู่สาธารณะเพื่อความโปร่งใส เป็นต้น
แต่ยังมีข้อมูลหลายส่วนที่จำเป็นที่คณะกรรมาธิการ ฯ ต้องการทราบ เพื่อนำมาวิเคราะห์ในการแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนี้คณะกรรมาธิการ ฯ ได้เชิญเกษตรโคนมและผู้ประกอบการนม รวมทั้งได้ลงพื้นที่พบผู้ประกอบการเพื่อรับทราบข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ พบว่าปัญหาที่สำคัญมี ดังนี้
1. ปัญหาเด็กนักเรียนได้กินนมโรงเรียนล่าช้าทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระบุว่าในช่วงเปิดเทอมวันแรกนักเรียนได้กินนมโรงเรียนเพียง 5,200 โรงเรียน จากทั้งหมด 26,600 โรงเรียน หรือ ร้อยละ19.55 เท่านั้น ซึ่งความล่าช้าเกิดจากการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานมโรงเรียนล่าช้าของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. ปัญหานมล้นทั้งระบบ (น้ำนมดิบและนมโรงเรียน) อันเนื่องมาจากโครงสร้างการบริหารจัดการของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม หรือมิลล์บอร์ด และคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน หรือบอร์ดนมโรงเรียน ที่มีปลัดกระทรวง ฯ เป็นประธาน ทั้ง 2 บอร์ด
มีการบริหารจัดการแยกกัน ทั้งในเรื่องการเซ็นMOU ซื้อนมดิบที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปี แต่ในการได้รับสิทธิโควตานมโรงเรียนเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป
กลุ่มที่ซื้อน้ำนมดิบตั้งแต่เดือนตุลาคมเพื่อหวังจะได้โควตานมโรงเรียนในเดือนพฤษภาคมมีมากถึง 1,894 ตัน/วัน แต่มีโควตานมโรงเรียนจริงเพียง 951 ตัน/วันเท่านั้น
หมายความว่ากลุ่มที่ซื้อนมโรงเรียนตั้งแต่เดือนตุลาคมเพื่อหวังจะได้โควตานมโรงเรียนจะไม่ได้รับสิทธิประมาณครึ่งนึง ผลคือ กลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิ ประมาณครึ่งนึงนี้จะกลายเป็นนมที่ล้นในระบบ ซึ่งมีประมาณ 943 ตัน/วัน
ผู้ซื้อนมเหล่านี้ต้องหาที่ปล่อยนมหรือนำนมมาบรรจุใส่กล่อง UHT นมโรงเรียน เพื่อรักษาอายุการเก็บได้นานขึ้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเรื่อยมาทุกปีจนคาดว่าในระบบมีนมโรงเรียนแบบกล่อง UHT ค้างสต๊อคเกือบพันล้านกล่องทั่วประเทศที่รอการระบายออก
ดูได้จากนมโรงเรียนที่นักเรียนได้ซึ่งควรจะได้รับเป็นนมพาสเจอไรซ์แบบถุงที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากว่านมกล่องUHT แต่นักเรียนมักได้รับนมกล่องแทน เพราะเป็นการระบายสต๊อคนมในสต๊อค
จากข้อมูลที่ทราบถึงแม้จะมีการเปลี่ยนช่วงเวลาการจัดสรรนมโรงเรียนและการเซ็นMOUเป็นช่วงเวลาเดียวกันก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานมล้นได้ เว้นแต่มีการปรับเพิ่มการบริโภคนมโรงเรียนจากเดิม260วันเป็น365วัน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับโควตานมโรงเรียนมาสามารถระบายนมโรงเรียนออกไปได้ในปริมาณเท่า ๆ กัน
3. คณะกรรมาธิการ ฯ ได้รับข้อมูลข้อร้องเรียนของหลายภาคส่วนถึงวิธีการจัดสรรโควตานมโรงเรียนที่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ทั้งการกำหนดพื้นที่ใหม่ การกำหนดสัดส่วนใหม่ของแต่ละกลุ่ม จนถึงการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย
กล่าวคือ มีการเปิดรับสมัครให้ผู้ประกอบการเข้าโครงการรับสิทธิโควตานมโรงเรียนไปแล้ว แต่ก็ยังมาประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรเพิ่มเติมในวันสุดท้ายของการรับสมัคร
เกิดคำถามว่า การออกประกาศแบบนี้ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางรายให้ได้รับโควตานมโรงเรียนมากกว่าเดิมหรือไม่ รวมถึงข้อร้องเรียนของสถาบันการศึกษาที่ปีนี้แทบไม่ได้รับโควตานมโรงเรียนเลย
4. ปัญหาการบริหารจัดการนมโรงเรียนผิดพลาด ส่งผลต่อการปฎิบัติที่อาจละเมิดข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ปัญหาการบริหารนมโรงเรียนที่ผิดพลาดยังส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการนมพาณิชย์ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตร ฯ หยิบยกสถานการณ์น้ำนมดิบล้นตลาดจากโครงการนมโรงเรียนมากล่าวอ้างในการจำกัดการนำเข้านมผงจากต่างประเทศ
โดยอนุมัติการนำเข้าเพียง ร้อยละ 35 จากที่ภาคเอกชนยื่นขอไว้ ทั้งที่ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งมีผลบังคับเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 แล้ว โดยการห้ามนำเข้านมผงนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดวิธีของทางกระทรวงเกษตร ฯ ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าระหว่างประเทศได้แจ้งเตือนไปแล้วด้วย
การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการนมพาณิชย์ ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมนม ขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามแผน จนต้องหยุดสายการผลิตในบางช่วง และนำไปสู่ปัญหาสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดนมพาณิชย์
รวมทั้งส่งผลให้อุตสาหกรรมนมหดตัวและกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งมีผลเสียเป็นวงกว้างต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยกำลังเจรจา FTA ฉบับใหม่กับ สหภาพยุโรป ซึ่งกำลังติดตามท่าทีของไทยในประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
โดยหลังจากคณะกรรมาธิการ ฯ ได้ทราบปัญหาเหล่านี้ จึงได้เรียนเชิญปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธาน คณะกรรมการโคนม หรือมิลล์บอร์ด และประธานคณะกรรมการอาหารเพื่อเด็กและเยาวชน (นมโรงเรียน) มาให้ข้อมูลกับกรรมาธิการ ฯ ในวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอเอกสารประกอบการพิจารณา
เพื่อจะนำไปแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพราะทางปลัดกระทรวงเกษตรฯเป็นทั้งประธานทั้งสองคณะ ซึ่งมีสิทธิตัดสินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการนมทั้งระบบ
ปรากฏว่าในวันดังกล่าว ทางปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้มาร่วมประชุมให้ข้อมูล แต่มอบหมาย องค์การส่งเสริมกิจการโคนม (อสค.) มาประชุมแทน แต่ อสค. ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ชัดเจนในทุกคำถาม และตัดสินใจอะไรแทนปลัดไม่ได้
ประกอบกับข้อมูลที่กรรมาธิการ ฯ ได้ทำหนังสือขอไปล่วงหน้าหลายรายการเกี่ยวกับข้อมูลการจัดสรรนมโรงเรียน การทำ MOU ซื้อนม ก็ไม่ได้นำมาให้กับคณะกรรมาธิการ ฯ พิจารณาแต่อย่างไร ส่งผลให้การประชุมคณะกรรมาธิการในการแก้ไขพระราชบัญญัตินี้ มีความขัดข้องเป็นอย่างยิ่ง
ผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานคณะกรรมาธิการ ฯ ชุดนี้ เห็นว่าปลัดกระทรวงเกษตร ฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานมโรงเรียน รวมทั้งความเดือดร้อนของเกษตรกรโคนมและผู้ประกอบการนมในเรื่องนมล้น
อีกทั้งไม่ให้การสนับสนุนข้อมูลเพื่อให้การแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นไปอย่างรอบครอบ จึงขอเรียกร้องให้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกำกับดูแลนโยบายของกระทรวง ฯ
1. พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงกรณี ปลัดกระทรวง ฯที่ บริหารงานบกพร่องทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้กินนมโรงเรียนทันในช่วงเปิดเทอม รวมทั้งการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการ ฯ ในการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม ฉบับนี้
2. พิจารณาดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการบริหารนมทั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานมล้นอันเนื่องมากจากนมโรงเรียน และเตรียมพร้อมการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการนมทั้งระบบให้พร้อมก่อนการลงนาม MOU การซื้อนมในเดือนตุลาคมที่จะมาถึง
3. ผลักดันให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมโรงเรียนครบ 365 วันอันเป็นการช่วยระบายสต๊อคนมโรงเรียน และช่วยเหลือเกษตรกรโคนมไปด้วย
4. พิจารณาให้หยุดการกระทำที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศในทันที เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมากับประเทศไทยในอนาคต


