posttoday

เปิดขั้นตอนศาลฎีกาไต่สวนบังคับโทษ“ทักษิณ” ปมชั้น14รพ.ตำรวจ

12 มิถุนายน 2568

รายงานพิเศษ : ศาลฎีกาฯ นักการเมือง นัดไต่สวนการบังคับโทษ “ทักษิณ” หลังคำพิพากษาถึงที่สุด 3 คดี โดยไม่ต้องมาศาล ทนายสามารถชี้แจงแทนได้ อยู่ในชั้นตรวจสอบตามกฎหมาย

ไต่สวน “ทักษิณ” ชั้นบังคับโทษ: ศาลฎีกาฯ เดินหน้าตรวจสอบหลังคำพิพากษาถึงที่สุด

การพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินหน้าเข้าสู่ "ชั้นบังคับคดี" หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดใน 3 คดี ได้แก่ คดีหมายเลขแดง อม.4/2551, อม.5/2551 และ อม.10/2552 โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ดำเนินการ

ขั้นตอนสำคัญในกระบวนการไต่สวน

1. คำร้องและคำสั่งเบื้องต้นของศาล (30 เม.ย. 2568)

ศาลฎีกามีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องถึงคู่ความทั้ง 3 คดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
  • อธิบดีกรมราชทัณฑ์
  • นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ

เพื่อขอคำชี้แจงว่าการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณเป็นไปตามหมายจำคุกของศาลหรือไม่ พร้อมแนบเอกสารภายใน 30 วัน

2. การชี้แจงจากฝ่ายต่าง ๆ

  • อัยการสูงสุด แจ้งว่าไม่มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพราะคดีอยู่ใน “ชั้นบังคับคดี” ซึ่งอยู่นอกเหนือหน้าที่อัยการ
  • ทนายฝ่ายทักษิณ ยื่นขอขยายเวลาชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายถึงวันที่ 23 มิ.ย. 2568

3. การนัดไต่สวน (13 มิ.ย. 2568)

  • ศาลนัดไต่สวนคำชี้แจงจากทุกฝ่าย
  • นายทักษิณไม่ต้องปรากฏตัวต่อศาล
  • ทนายความสามารถเป็นผู้แทนตามสิทธิที่ได้รับมอบอำนาจ

4. มาตรการของศาลและการเข้าร่วมของสื่อมวลชน

  • ผู้สื่อข่าวต้องขออนุญาตล่วงหน้าเพื่อเข้าฟัง
  • หากผู้สื่อข่าวมีจำนวนมาก จะมีห้องถ่ายทอดสัญญาณเสริม
  • ห้ามนำอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงเข้าห้องพิจารณา
  • จัดพื้นที่รองรับสื่อและจุดจอดรถแยกต่างหากอย่างเป็นระบบ

5.การรักษาความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ศาล, ตำรวจศาล และ สน.ชนะสงครามเตรียมพร้อมรักษาความเรียบร้อยเนื่องจากเป็นการไต่สวน ไม่ใช่การพิจารณาชี้ขาดคดี

 การไต่สวนครั้งนี้เป็นการตรวจสอบการบังคับโทษภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลจะรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายเพื่อพิจารณาว่ามีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลหรือไม่ โดยนายทักษิณไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเอง และสามารถมอบอำนาจให้ทนายความเป็นผู้แทนได้ตามสิทธิ.

ข่าวล่าสุด

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%