เบื้องหลัง รวมไทยสร้างชาติปะทุแตก สส.ลุกฮือจี้ล้มผู้นำพรรค

พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผชิญภาวะร้าวลึก หลังสมาชิกผู้แทนราษฎร 21 คน ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค สะท้อนความไม่พอใจต่อภาวะผู้นำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ที่ถูกมองว่าละเลย ส.ส. และปล่อยให้ปัญหาภายในพรรคสะสมจนถึงจุดแตกหัก

จดหมายดังกล่าวไม่เพียงข้ามขั้นตอนภายในพรรค หากแต่ถือเป็นการเปิดเผยสัญญาณอันตรายของวิกฤตศรัทธาต่อผู้นำพรรคอย่างชัดเจน เมื่อ ส.ส. ถึงกับต้องพึ่งพาคนนอกเพื่อแก้ปัญหาภายในองค์กรการเมืองของตนเอง

แหล่งข่าวภายในพรรคระบุว่า ความไม่พอใจเกิดขึ้นตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะพฤติกรรมของหัวหน้าพรรคและเลขาฯ ที่เมื่อได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี กลับไม่ใส่ใจดูแลพรรคและ ส.ส. ปล่อยให้กลุ่มใกล้ชิดเข้ามาครอบงำ ตั้งคนของตัวเองรับตำแหน่งในพรรคและกระทรวง เน้นการสร้างภาพมากกว่าผลงานที่จับต้องได้

บรรยากาศในพรรคจึงกลายเป็นแบบ “ต่างคนต่างอยู่” ส.ส. เข้าถึงรัฐมนตรีไม่ได้ ขณะที่พีระพันธุ์เลือกสื่อสารเฉพาะกับเอกนัฏ และยังต้องนัดหมายล่วงหน้าหากจะพบปะกัน ขณะที่ทีมงานรอบข้างกลับเต็มไปด้วยบุคคลที่มีข้อครหาทั้งในอดีตและปัจจุบัน บางรายเคยถูกถอดยศ บางรายมีฉายาว่า “ตั้งโต๊ะ” จากพฤติกรรมหาผลประโยชน์ในโครงการรัฐ

ในด้านผลงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งถือครองโดย รทสช. ก็ถูกวิจารณ์ว่ามุ่งแต่สร้างกระแส ไล่จับโรงงานต่างชาติ แต่กลับละเลยหน้าที่หลักอย่างการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม ซึ่งตัวเลขจากสภาพัฒน์ชี้ชัดว่าหดตัวต่อเนื่องและกลายเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจไทย แม้ภาคส่งออกและการบริโภคจะฟื้นตัว
 

ไฟที่จุดระเบิดความไม่พอใจจนลุกลามถึงขั้นร้องเรียนต่อนายกฯ เกิดจาก 2 กรณีใหญ่ คือ ข้อกล่าวหานายพีระพันธุ์ถือครองหุ้นต้องห้าม และกรณีนำถุงยังชีพของ ปตท. ไปติดสติกเกอร์ชื่อของตัวเองเพื่อแจกในพื้นที่ประสบภัย โดยไม่เคยออกมาชี้แจงต่อสังคมหรือ ส.ส.ในพรรค แม้กระทั่งหมายเรียกจาก ป.ป.ช. ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยง

สถานการณ์ล่าสุดชี้ชัดว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้เข้าสู่ภาวะ “แตกภายใน” อย่างสมบูรณ์ ด้วยความล้มเหลวของผู้นำพรรคที่ไม่อาจรักษาความเป็นหนึ่งเดียว และไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกพรรคได้อีกต่อไป

 อย่างไรก็ตาม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้แจงผ่าน Nation TV ว่าได้รับทราบข่าวและเห็นเอกสารดังกล่าวแล้ว ได้ติดต่อสอบถาม ส.ส.หลายรายที่มีรายชื่อในเอกสาร ซึ่งต่างยืนยันว่า "ไม่เคยรับรู้หรือลงชื่อในหนังสือดังกล่าว"