“สุรเชษฐ์” ชี้ รัฐดันทุรังรถไฟฟ้า 20 บาท แนะ ใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม
“สุรเชษฐ์” อัดร่างแก้ พ.ร.บ.รฟม. รัฐบาลดันทุรังทำ 20 บาทตลอดสายทั้งที่ไม่คุ้มค่า-สร้างภาระระยะยาว มีกลไก พ.ร.บ.ตั๋วร่วมอยู่แล้วแต่กลับไม่ใช้
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่ง นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ร่วมอภิปรายไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ.รฟม. ในครั้งนี้
นายสุรเชษฐ์ ระบุว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.รฟม. เป็นเรื่องที่มาด่วน เข้าคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 และเข้ามาในการประชุมวิสามัญครั้งนี้ที่เปิดมาเพื่อพิจารณางบประมาณเป็นหลัก ที่เข้ามาก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้รัฐบาล เพื่อดึงเงินสะสมจาก รฟม. มาอุดหนุนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
โดยรัฐมนตรีให้เหตุผลว่า รฟม. มีเงินสะสมอยู่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อีกทั้ง รฟม. ยังเป็นหนี้ราว 6 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ละปีรัฐต้องเทเงินเข้าไปอุดหนุน รฟม. หลายหมื่นล้านบาท
ดังนั้นสถานะของ รฟม. จึงไม่ได้ร่ำรวยหรือยืนได้ด้วยตนเองด้วยซ้ำ รัฐมนตรีทราบหรือยังว่าค่าดำเนินการของ รฟม. แต่ละปีเท่าไหร่และรายได้พอหรือไม่กับต้นทุนค่าดำเนินการ แต่รัฐบาลก็ยังจะไปลดราคาแล้วเอาเงินของคนทั้งประเทศมาอุดอีก พอหาเงินไม่ได้ก็จะไปล้วงกระเป๋า รฟม.
ในการหาเสียงปี 2566 พรรคแกนนำรัฐบาลบอกว่าจะทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายตามเงื่อนไขที่ประกาศไว้สำคัญ 4 ข้อ คือ
1) จะทำทุกสาย
2) จะทำข้ามสาย
3) ตอนแรกประกาศว่าจะทำภายใน 3 เดือนแต่ตอนนี้ประกาศเลื่อนเป็น 2 ปีแล้ว
4) สุดท้ายที่บอกว่าจะเจรจาลดราคามา ซึ่งบัดนี้นโยบาย 20 บาทตลอดสายไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขเหล่านี้อีกต่อไป ดังนั้น นโยบาย 20 บาทตลอดสายทำไม่ได้ไปแล้วตามเงื่อนไขที่ประกาศไว้
แต่ตอนนี้รัฐบาลกลับพยายามจะทำใหม่ด้วยวิธีล้วงกระเป๋า รฟม. ทั้งที่สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การทำ 20 บาทตลอดสายแบบไร้ฐานคิด แต่ต้องดูว่าต้นทุนในการดำเนินการเท่าไหร่ แต่ละสัญญาเป็นอย่างไร
ควรจะทำ 8-45 บาทตลอดทาง รถเมล์เชื่อมรถไฟฟ้า มองขนส่งสาธารณะอย่างเป็นระบบ คิดจากต้นทางไปปลายทาง ดังนั้นตนจึงไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.รฟม. ที่มีการพิจารณาในวันนี้ด้วยเหตุผลหลัก 4 ประการ คือ
1) เร่งรีบแซงคิวกฎหมายอื่นๆ อย่างน่าเกลียด แทนที่จะมาต่อคิวหรือต่อเรื่องด่วน กลับแซงมาในการประชุมสมัยวิสามัญในวันนี้
2) ร่างนี้แตกต่างจากร่างที่รับฟังความคิดเห็นมาก ประเด็นสำคัญที่สุดคือในมาตรา 65 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ มีการแก้ไขนอกรอบเยอะมาก แล้วเอาร่างใหม่ยัดแซงเข้ามาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ซึ่งมีความน่ากังวลเรื่องวินัยการเงินการคลัง
3) เนื้อหาการแก้ไขไม่ได้ตั้งใจทำให้ รฟม. ดีขึ้น แต่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลก่อขึ้น ในมาตรา 9 (6) เดิมระบุไว้ว่า “ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นเพื่อใช้ในการลงทุน” มีการแก้ข้อความว่า “หรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม.”
เป็นการยัดข้อความเข้าไปให้สามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง เปิดให้กู้เงินโดยอาจไม่ต้องใช้ในการลงทุนก็ได้ หรืออาจจะกู้มาอุดหนุนค่าโดยสารให้ต่ำกว่าค่าดำเนินการ ให้เป็นไปตามนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ซึ่งสุดท้ายประชาชนทั้งประเทศก็ต้องมาช่วยกันจ่ายอยู่ดี
อีกทั้งตามมาตรา 65 ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดและมีความน่ากังขาถึงวาระที่ซ่อนเร้น เป็นการขยายขอบเขตค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อสร้างทางลัดในการใช้เงินแผ่นดินโดยไม่ต้องผ่านคลัง ให้หยิบเงินมาใช้โดยตรงได้ผ่านกองทุน
นอกจากนั้นยังเปิดช่องให้รัฐมนตรีล้วงกระเป๋า รฟม. มาทำนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ซึ่งคนที่จะได้รับประโยชน์จริงๆ ก็คือทุนใหญ่เจ้าของสัมปทาน
4) การลดภาระค่าเดินทางไม่ได้ทำอย่างรอบคอบผ่านกลไกค่าโดยสารร่วมใน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งทุกอย่างพร้อมแล้วแต่รัฐบาลกลับไม่ได้นำมาพิจารณาก่อน กลับจะเอาเงินจาก รฟม. มาโยกลงกองทุน
สุรเชษฐ์ยังกล่าวต่อไปว่ากฎหมายคือเครื่องมือในการดำเนินนโยบายแต่ต้องใช้อย่างเหมาะสมและคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ต้องเลือกว่าจะทำแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือจะทำอย่างที่ควรจะเป็นผ่าน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม
โดยพิจารณาว่าเท่าไหร่จึงเหมาะสม ทำอย่างไรให้รถเมล์ทำงานร่วมกับรถไฟฟ้า ค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟฟ้าเท่าไหร่ ทำระบบขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบอย่างไร ต้องคิดให้ดี ไม่ใช่แก้ พ.ร.บ. เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลนี้ก่อขึ้นมาเอง
“การเสนอแก้ พ.ร.บ. แบบเร่งด่วนในครั้งนี้ไม่ได้เสนอมาเพื่อแก้ปัญหาให้ รฟม. แต่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลสร้างขึ้นจากนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผล ด้วยการล้วงกระเป๋า 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้รัฐบาลได้เพียง 2 ปี แต่จะสร้างปัญหาในระยะยาวจากการที่รัฐบาลใหม่ต้องมาอุดหนุนค่าโดยสารในปีต่อๆ ไป และเสียโอกาสในการพัฒนาขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด” สุรเชษฐ์กล่าว


