ยิ่งลักษณ์ลุ้น 35,000 ล้าน! ศาลปกครองสูงสุดนัดคดีจำนำข้าว 22 พ.ค.
อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลุ้นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ค. ว่าต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกว่า 35,000 ล้านบาท จากโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่
จากกรณีที่ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานศาลปกครอง ว่าในวันที่ 22 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่กระทรวงการคลัง ได้มีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในโครงการรับจำนำข้าว วงเงินราว 3.5 หมื่นล้านบาท หลังก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชนะคดีมาแล้วในชั้นศาลปกครองกลาง แต่ผู้ถูกร้อง (กระทรวงการคลัง) ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
เดิมพันสูง สะเทือนทั้งการเมืองและตระกูลชินวัตร
คำพิพากษาครั้งนี้ มีเดิมพันทางการเมืองสูงมาก เพราะหาก ยิ่งลักษณ์ชนะคดี นอกจากจะส่งผลให้ ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยมหาศาลแล้ว ยังเปิดทางให้ รัฐบาลเพื่อไทย ปลุกกระแส “คืนความเป็นธรรม” ให้เธออีกครั้ง ขณะที่ การอายัดทรัพย์ต่าง ๆ ที่ถูกดำเนินการไปก่อนหน้านี้ เช่น บ้านพักในซอยโยธินพัฒนา ก็อาจถูกยกเลิก
ในอีกมุมหนึ่ง หากเธอ แพ้คดี ย่อมหมายถึงการแบกรับหนี้สินระดับมหาศาล ซึ่งจะปิดโอกาสการกลับไทยในระยะสั้น และกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยในวงกว้าง
แผนการกลับไทยของยิ่งลักษณ์ยังมืดมน
แม้ ทักษิณ ชินวัตร จะเคยลั่นวาจาว่าจะพาน้องสาวกลับไทยร่วมเล่นสงกรานต์ในปี 2568 แต่แผนนี้ดูเหมือนจะสะดุด เมื่อเจอกระแสต่อต้านจากสังคม และการตรวจสอบกรณี “นักโทษ VIP” ของทักษิณเองก็ยังไม่จบ
อีกทั้งระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ที่ให้จำคุกที่บ้านได้เฉพาะโทษไม่เกิน 4 ปี ก็ ไม่ครอบคลุมกรณียิ่งลักษณ์ ที่ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี เว้นแต่จะยอมกลับมาติดคุกบางส่วนก่อนขอยื่นลดโทษ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นไปได้
การเมืองในเงาทักษิณ-แพทองธาร
หากยิ่งลักษณ์กลับไทยในช่วงที่ แพทองธาร ลูกสาวของทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็จะทำให้เกิดข้อครหาว่าใช้อำนาจรัฐเพื่อช่วยเหลือเครือญาติ ซึ่งอาจจุดชนวนการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหญ่ ทำให้ทักษิณเองก็ ไม่กล้าเสี่ยง ให้เรื่องส่วนตัวมากระเทือนรัฐบาลลูกสาว
คดีที่อาจตัดสินชะตาทางการเมือง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ศาลปกครองกลางตัดสินว่า คำสั่งให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้เงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเธอมีส่วนในการทำให้รัฐเสียหายโดยตรง และความผิดส่วนใหญ่เกิดจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
แต่รัฐบาลในยุคพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมรับคำตัดสิน ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด จนนำไปสู่การอ่านคำพิพากษาที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้


