“เท้ง ณัฐพงษ์” ยื่นหนังสือ แย้ง “วันนอร์” ขอบรรจุญัตติ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ"
“เท้ง ณัฐพงษ์” ยื่นหนังสือ แย้ง “วันนอร์” ขอบรรจุญัตติ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" เร็วที่สุด ยัน! ญัตติไร้ข้อบกพร่อง
จากกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย ได้ออกมายืนยันว่าหนักหาก ฝ่ายค้านไม่ตัดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่บรรจุระเบียบวาระ โดยอ้างว่าต้องเคร่งครัดระเบียบข้อบังคับให้การประชุมเรียบร้อย
ด้านผู้นำฝ่ายค้านอย่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนไม่นิ่งนอนในเรียกประชุมพรรคก่อนออกหนังสือโต้แย้งและขอให้บรรจุญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้าระเบียบวาระการประชุมโดยเร็วที่สุด
โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอให้ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรและคณะ พิจารณาแก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคล
โดยอ้างว่าญัตติดังกล่าวมีเนื้อหาระบุรายชื่อบุคคลภายนอก อันอาจทำให้บุคคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างว่ามีข้อบกพร่องตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 13 นั้น
ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ ขอยืนยันว่าญัตติ ของข้าพเจ้าและคณะไม่มีข้อบกพร่องตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างแต่ประการใด ดังนี้
ข้อ 1 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าสมควรมีเนื้อหาอย่างใดมิได้
เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า เนื้อหาของญัตติสมควรจะเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะหรือไม่
หากแต่บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันในในการใช้อำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ต้องเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเท่านั้น
โดยหากรัฐธรรมนูญประสงค์กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรือมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่าจะบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ
รัฐธรรมนูญจักต้องบัญญัติถ้อยคำที่แสดงถึงอำนาจในการใช้ดลพิลพิพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดแจ้ง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 236 ที่บัญญัติให้อำนาจดุลพินิจแก่ประธานรัฐสภาในการพิจารพิจารณาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ
เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการเข้าชื่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้โดกระทำการตามมาตรา234(1) แห่งรัฐธธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย
โดยเมื่อมีการยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควรแล้ว หากประธานรัฐสภา "เห็นว่า" มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทาตามที่ถูกกล่าวหา จึงให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาได้ อีกทั้ง ข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 มิได้ให้อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในการใช้ดุลพินิจว่าเนื้อหาของญัตติควรจะเป็นอย่างไร หรือมีความเหมาะสมหรือไม่ กล่าวคือ ข้อ 176 กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบว่าญัตติมี "ข้อบกพร่อง" หรือไม่
ทั้งนี้ ข้าพเจ้าและคณะเห็นว่า คําว่า "ข้อบกพร่อง" ในข้อดังกล่าวมีเจตนารมณ์หมายถึงข้อบกพร่องที่เป็นข้อผิดพลาดในเชิงข้อเท็จจริงหรือรูปแบบ เช่น มีรายชื่อผู้เสนอที่ไม่ครบตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดลายมือชื่อของผู้เสนอไม่ถูกต้องตรงกันกับลายมือซื่อจริง ระบุชื่อรัฐมนตรีที่ระบุในญัตติผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือไม่มีการอ้างถึงมาตราหรือข้อกฎหมายที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ดังนั้น การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้อํานาจโดยอ้างข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 โดยตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้และตีความกฎหมายที่ลุแก่อํานาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราซอาณาจักรไทยและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ได้กำาหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงและทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร
ข้อ 2 ข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มิได้มีข้อห้ามมิให้ระบุชื่อ
บุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้น การระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติของข้าพเจ้าและคณะจึงไม่ได้มีลักษณะเป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด
อีกทั้ง ในอดีตที่ผ่านมา ญัตติที่เสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรหลายญัตติก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก เช่น ญัตติด่วนของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2562 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรดังคณะกรรมาธการวิสามัญูเพื่อศึกษา ตรวจสอบการดําเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อูตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
โดยในเนื้อหาของญัตติได้ระบุชื่อบุคคลอื่นซึ่งมีใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใด ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (CPH) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษา ตรวจสอบการดําเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื่นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
ดูตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (1) และรวมถึงญัตติอื่น ๆ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (2) อีกทั้ง ข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2562 ข้อ 178 กำหนดให้การอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง
เห็นได้ว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พศ. ๒๕๖๒
จึงไม่ได้มีบทบัญญัติห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติแต่อย่างใดยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ได้รับความเสียหายจากการอภิปรายหรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอ
ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรภายในกำาหนดเวลาสามเดือนนับแต่วั้นที่มีการประชุมครั้งนั้นเพื่อให้มีการโฆษณา
คำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสามแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อพิเคราะห์ตามเจตนารมณ์แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว เห็นได้ว่า ข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 125 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไมได้ห้ามการอภิปรายที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลภายนอก ในทางตรงกันข้าม ข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สามารถูกตีความเจตนารมณ์ได้ว่าการอภิปรายถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลภายนอกนั้น
สามารถกระทำได้
เพียงแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎูรผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทําเอง และ
ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการโฆษณาคําชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับการประซุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562
ข้อ 3 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 กำหนดให้เมือประธานสภ
ผู้แทนราษฎรได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สํานักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ลงวันที่ 4มีนาคม 2567 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของประธานสภาผู้แทนราษฎร
เห็นได้ว่า การแจ้งข้อบกพร่องตามข้อ 176ในหนังสือฉบับดังกล่าวนั้นไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ข้อ176 กำาหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ.2562 ด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตดิของข้าพเจ้าและคณะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ อันเป็นว้นที่พ้น ระยะเวลาเจ็ดวันตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ กำหนด
จากที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าและคุณะขอยืนยันว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของข้าพเจ้าและคณะนั้นด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ดั้งนั้น จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุดต่อไป


