"คดีฮั้วสว." กกต.ทำอะไรอยู่ ล้มเหลวหรือ เพิกเฉย?
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินหน้า รับ คดีฮั้วสว. เป็นคดีพิเศษ ในความผิดฐานฟอกเงิน "กกต." ทำอะไรอยู่ ล้มเหลว หรือ จงใจเพิกเฉย?
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ชี้ขาดให้คดีฮั้วสว. เป็นคดีพิเศษในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 20
หลังพบหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจน และ เชื่อได้ว่ามีความผิด ทั้งโพย สว.140 ชื่อ ตรงตามรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว.138 คน นอกจากนี้ยังพบเส้นเงินที่เชื่อมโยงกับการฮั้วเลือกสว. จากหลักฐาน DSI พบว่ามีการจ่ายแบ่งเป็น
ระดับอำเภอ 5,000 บาท
ระดับจังหวัด 10,000 บาท
ระดับประเทศตั้งแต่ 40,000-100,000 แสนบาท
และหากได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เงินเพิ่มจำนวน 100,000 แสนบาท
DSIรับคดีฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษและเตรียมเดินหน้าตรวจสอบ ในขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยังไม่มีการเคลือนไหว ทำให้เกิดคำถามว่า กกต.กำลังทำอะไรอยู่?
เหตุการณ์ที่ส่อไปในทางที่มีการฮั้วเพื่อเลือก ส.ว.ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปี 2567 ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการ ฮั้วเลือกกัน หรือ ล็อบบี้ เพื่อผลักดันผู้สมัครจากเครือข่ายเดียวกันเข้าสู่ตำแหน่ง ส.ว. ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามความตั้งใจของการเลือกตั้งที่มีความโปร่งใส
1. การจัดตั้งเครือข่ายล่วงหน้า
- มีการเปิดเผยว่าในบางจังหวัดและอำเภอ ผู้สมัครส.ว. บางคนได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มเพื่อเลือกกันเองในลักษณะของ ข้อตกลงลับ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยทำการสัญญาว่าจะโหวตให้กันและกันเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ส.ว.
- ข้อกล่าวหาที่ตามมาเกี่ยวข้องกับ การตกลงล่วงหน้า ในการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้การเลือกตั้งไม่โปร่งใส และไม่เป็นไปตามหลักการที่ควรจะเป็น
2. การใช้เงินซื้อเสียง
- รายงานจากแหล่งข่าวบางแห่งระบุว่า มีการใช้เงินจำนวนมากเพื่อ "ซื้อเสียง"หรือเพื่อสร้างเครือข่ายในการสนับสนุนผู้สมัครที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
- โดยเฉพาะในบางกรณี มีการให้เงินหรือสิ่งจูงใจอื่น ๆ แก่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง เพื่อให้โหวตให้กับกลุ่มของตนเอง
3. การเผยแพร่คลิปเสียงและหลักฐาน
- มีการเผยแพร่ คลิปเสียง ที่แสดงให้เห็นถึงการสนทนาเกี่ยวกับการวางแผนช่วยกันเลือกในกลุ่มผู้สมัคร ส.ว. บางคน
- หลักฐานเหล่านี้ถูกนำเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อาจไม่เป็นไปตามหลักการของความโปร่งใสและยุติธรรมที่ควรจะเป็น
4. การร้องเรียนจากประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคม
- หลายฝ่ายทั้ง ประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคมได้ออกมาร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการจัดการเลือกตั้งในลักษณะของ "การล็อบบี้"หรือการควบคุมผลการเลือกตั้งเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
5. การร้องขอตรวจสอบจาก DSI
- เนื่องจาก (DSI)ได้รับการร้องเรียนและมีข้อมูลที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงิน และการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงในกระบวนการเลือกตั้ง สว. จึงทำให้ DSI เข้ามาตรวจสอบในฐานะคดีพิเศษ
- DSI ได้รับข้อมูลว่ามีการเคลื่อนไหวของเงินในระบบการเลือกตั้ง ซึ่งอาจมาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หากการสอบสวนพบหลักฐานเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน ก็อาจทำให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความ 'ไม่โปร่งใส' และ อาจมี 'การทุจริต' ในกระบวนการเลือกตั้ง สว. ซึ่งเดิมทีหน้าที่การตรวจสอบขบวนการดังกล่าวเป็นของกกต.
กกต.ทำอะไรอยู่? ล้มเหลว หรือ จงใจเพิกเฉย?
DSI เดินหน้าตรวจสอบคดีฮั้วสว. ทั้งที่การตรวจสอบดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของกกต. ทำให้เกิดคำถามว่า กกต. “ไร้ประสิทธิภาพ" หรือ "มีเจตนาเพิกเฉย" ต่อปัญหาการฮั้วเลือก สว.
1.กกต. ล้มเหลวในการป้องกันปัญหา ฮั้วเลือก ส.ว.ออกแบบระบบที่เปิดช่องให้ฮั้วกันได้ง่าย
-ระบบเลือก ส.ว. ถูกออกแบบให้ "ผู้สมัครเลือกกันเอง" ทำให้เกิดการล็อบบี้และจัดกลุ่มโหวตกันล่วงหน้า
-ไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ว่าแต่ละคนลงคะแนนอย่างอิสระหรือไม่
-แม้จะมีเสียงวิจารณ์ก่อนเลือกตั้ง แต่ กกต. ไม่ได้ออกมาตรการป้องกันล่วงหน้า
ตรวจสอบล่าช้า และไม่ดำเนินการเชิงรุก
-มี คลิปเสียง หลักฐานชัดเจน ว่ามีการวางแผนช่วยกันโหวต แต่กกต. ไม่รีบดำเนินการ
-ประชาชนและองค์กรภายนอกต้องเป็นฝ่ายร้องเรียน แทนที่กกต. จะตรวจสอบเชิงรุกเอง
-ไม่มีการระงับหรือสั่งให้เลือกตั้งใหม่ แม้มีข้อครหาหนัก
2.มีเจตนาเพิกเฉยหรือไม่?
-ปล่อยให้กระบวนการเลือก ส.ว. ดำเนินต่อ แม้มีหลักฐานการฮั้ว
-กกต. อ้างว่าต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ แต่กลับไม่สั่งให้ชะลอหรือยกเลิกการเลือกตั้ง
-หาก กกต. ไม่ยับยั้งตั้งแต่ต้น อาจทำให้คนที่มีพฤติกรรมฮั้วได้รับตำแหน่ง ส.ว. ไปแล้ว
ไม่มีมาตรการลงโทษที่ชัดเจน
-กกต. มีอำนาจสืบสวนและสั่งให้ตัดสิทธิ์ผู้สมัครที่กระทำผิด
-แต่ ยังไม่มีกรณีที่มีการลงโทษชัดเจน แม้จะมีพยานหลักฐานปรากฏ
-ทำให้ถูกมองว่า กกต. อาจ "เลือกที่จะนิ่งเฉย" แทนที่จะจัดการปัญหาอย่างจริงจัง
3.ทำไม DSI ต้องเข้ามาแทน กกต.?
กกต. ไม่สามารถจัดการเรื่องเงินทุจริตได้
-มีข้อกล่าวหาเรื่อง "การใช้เงินล็อบบี้โหวต" ซึ่งอาจเข้าข่ายการฟอกเงิน
-กกต. ไม่มีอำนาจตรวจสอบเส้นทางการเงินเชิงลึก จึงต้องให้ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) รับไปดำเนินการ
ประชาชนขาดความเชื่อมั่นใน กกต.
-หลังเกิดเรื่อง ประชาชนและภาคประชาสังคมเรียกร้องให้ หน่วยงานอิสระอย่าง DSI สอบสวนแทน
-หากกกต. มีบทบาทเข้มแข็ง DSI อาจไม่ต้องเข้ามาตรวจสอบเลยตั้งแต่ต้น
4.กกต. อาจเผชิญแรงกดดันในอนาคต เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบและฟ้องร้อง
-หาก DSI พบหลักฐานว่ามีการฟอกเงินจริง อาจย้อนกลับมาตรวจสอบว่า กกต. มีส่วนรู้เห็นหรือไม่
-หากพบว่า กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อาจมีการฟ้องร้องต่อศาล
กระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร
-กกต. ถูกวิจารณ์หนักว่า ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หรือมีเจตนาเพิกเฉย
-อาจส่งผลต่อการปฏิรูป กกต. ในอนาคต และการกำกับดูแลการเลือกตั้งครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตามไม่ว่ากกต. ล้มเหลว หรือ เพิกเฉย ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ความน่าเชื่อถือของ กกต. เสียหายหนัก และอาจต้องมีการตรวจสอบการทำงานขององค์กรนี้ในอนาคต


