เปิดกฎหมายส่อง DSI ส่องความผิด กรณีเลือก สว.ถูกรับเป็นคดีพิเศษฐานฟอกเงิน
เปิดข้อกฏหมาย ส่องอำนาจ DSI ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษและ ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ หลังบอร์ด กคพ. มีมติให้รับทำคดีกรณี การคัดเลือก สว.เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดตัวบุคลากรที่จะทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการฯ เป็นเจ้าพนักงาน และเป็นเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ
กำหนดประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ และกำหนดอำนาจพิเศษซึ่งเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอมีเหนือเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการของดีเอสไอ เรียกว่า คณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ “คกพ.” เกิดขึ้นตามมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่กำหนดไว้ดังนี้
“มาตรา 5 ให้มีคณะกรรมการคดีพิเศษ เรียกโดยย่อว่า “กคพ.” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์
อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เจ้ากรมพระธรรมนูญ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาทนายความ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนเก้าคน และ
ในจำนวนนี้ต้องมีบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศหรือกฎหมาย อย่างน้อยด้านละหนึ่งคนเป็นกรรมการ
ให้อธิบดีเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษจำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ”
คณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ คกพ. มีจำนวนทั้งสิ้น 22 คน ทั้งหมดเป็นบุคลากรในภาครัฐหรือแต่งตั้งโดยภาครัฐ
การพิจารณาว่าคดีใดบ้างที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ กำหนดเอาไว้ในมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ดังนี้
“มาตรา 21 คดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่คดีความผิดทางอาญาดังต่อไปนี้
(1) คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ และที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของ กคพ. โดยคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายดังกล่าว จะต้องมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ
(ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ
(ค) คดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญหรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม
(ง) คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สำคัญเป็นตัวการผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน
(จ) คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะได้กระทำความผิดอาญาหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา
ทั้งนี้ ตามรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่ กคพ. กำหนด
(2) คดีความผิดทางอาญาอื่นนอกจาก (1) ตามที่ กคพ. มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่”
สำหรับ คดีที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ พิจารณาตาม “ประเภท” ของคดีพิเศษตามมาตรา 21(1) ที่ท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 กำหนดไว้แล้วมี 22 ประเภท ได้แก่
(1) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
(2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า
(3) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(4) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(5) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเล่นแชร์
(6) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
(7) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
(8) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม
(9) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
(10) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า
(11) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา
(12) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
(13) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
(14) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
(15) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
(16) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบกรามการฟอกเงิน
(17) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(18) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์
(19) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
(20) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
(21) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตร
(22) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ
สำหรับ ความผิดตามที่ กคพ. รับไว้ดำเนิคดี โดยเห็นว่าการกระทำเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้กำหนดไว้ใน มาตรา 3 บทนิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” ในข้อที่ 23 จากความผิดมูลฐานทั้งหมด 28 มูลฐาน ระบุดังนี้
23 ความผิดเกี่ยวกับการกระทำการเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือกหรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญความผิดมูลฐานว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2561)


