ที่สุดในคุก เปอรย์เซอร์
25 วันในคุก
“เปรย์ซอร์” ที่ “ตายแน่ มุ่งมาจน” หรือ “เปี๊ยก” 1 ใน 7 คนไทย ที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่น คุกแห่งนี้ขึ้นชื่อลือชาในกัมพูชาถึงความโหดร้าย เพราะมีผู้ต้องขังหลายคนเสียชีวิตจากการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเชื้อโรคต่างๆ เป็นจำนวนมากหลังจากที่เขาและคณะลงพื้นที่ตรวจสอบความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา ตะเข็บชายแดน จ.สระแก้ว จนกลายเป็นปัญหาที่ค้างคามาจนถึงทุกวันนี้
“โพสต์ทูเดย์” สนทนากับ “ตายแน่” ที่เต็นท์การชุมนุมของกองทัพธรรมหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น“
ตายแน่” ลงพื้นที่ในฐานะผู้สื่อข่าว FMTV เครือข่ายสันติอโศก เล่าว่า ได้รับการประสานจาก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม ว่า นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ระบุว่า มีชาวบ้านมาร้องเรียนปัญหาว่าไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินในที่ดินของตัวเองในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาได้ เพราะชาวบ้านและทหารกัมพูชามาตั้งรกรากอยู่จำนวนมาก พี่แซมดินจึงขอให้ไปด้วย เพราะรู้ว่าผมลงพื้นที่ทำข่าวชายแดนมาตลอด ซึ่งเห็นว่าพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว น่าสนใจที่สุด เพราะชาวบ้านมีเอกสารสิทธิที่ดินเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ โดยนัดกันในวันที่ 29 ธ.ค. 2553หลังจากลงจากรถที่จอดไว้ใกล้ๆ ถนนศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นถนนที่กั้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ตายแน่และคณะได้เดินลงพื้นที่บริเวณที่เป็นปัญหาระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 บริเวณบ้านหนองจาน ซึ่งจากเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก. ของชาวบ้าน เขายืนยันว่ายังอยู่ในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะหากดูตามแผนที่ที่นายกรัฐมนตรีนำมาอธิบายเรื่องการจับกุมตัวคนไทยทั้ง 7 จะพบว่าจุดสิ้นสุดวิดีโอซึ่งเป็นจุดที่คณะถูกจับกุมตัวยังเป็นดินแดนของไทย
“
แต่เหตุที่เกิดเรื่องบานปลาย เป็นเพราะทหารกัมพูชาได้พาพวกเราเดินต่อไปจากจุดสิ้นสุดวิดีโอ เพื่อพาไปยังค่ายทหารซึ่งอยู่ห่างจากจุดจับกุมตัวประมาณ 800 เมตร แต่ระหว่างทางทหารกัมพูชาได้ถ่ายรูปพวกเรา และใช้รูปนั้นเป็นหลักฐานว่าเราบุกรุกเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา 55 เมตร“
ตรงนี้เป็นจุดที่ผมกับนายกฯ อธิบายต่างกัน ผมคิดว่าจุดสิ้นสุดวิดีโอควรจะเป็นจุดที่ถูกจับ ไม่ใช่จุดสีแดงที่เราถูกทหารพาไปถ่ายรูป เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หากทหารกัมพูชาคุมตัวผมไปที่พนมเปญ ก็แสดงว่าผมบุกรุกกรุงพนมเปญ ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นจริง”“
ช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมาช่วยเจรจา โดยมีคำตอบสุดท้ายว่า “เรื่องของพวกท่านถึงกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแล้ว และจะถูกส่งตัวไปที่กัมพูชา” และเจ้าหน้าที่ก็กลับกันหมด ปล่อยให้เรา 7 คนอยู่ในวงล้อมของทหารกัมพูชาประมาณ 30 นาย”“
ตายแน่” เล่าวินาทีระทึกหลังถูกจับกุมว่า การดำเนินการต่างๆ ในวันนั้นใช้เวลานานมาก หลังจากถูกจับตอน 11 โมงเช้า ก็ถูกส่งตัวไปยังกรุงพนมเปญด้วยรถตู้เก่าๆ ไม่มีเบาะ มีแค่เก้าอี้พลาสติกไม่กี่ตัว โดยสส. พนิช วิกิตเศรษฐ์ ขอนั่งกับพื้น ตอนนั้นก็คุยกันว่า ไม่รู้ว่าเขาจะพาเราไปที่ไหน ต่อมาถูกจับแยกกันให้นั่งไปกับรถทหาร กว่าจะถึงกรุงพนมเปญก็ล่วงไปกว่า 5 ทุ่ม และถูกสอบสวนอีกตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันณ เวลานั้นคนไทยทั้ง 7 นิ่งและเข้มแข็ง ทุกคนทำตามขั้นตอนของศาลกัมพูชา
“ตายแน่” บอกว่า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะไปนอนที่คุกเปรย์ซอร์ รู้แค่ว่าต้องถูกควบคุมตัวก็คิดในใจกันว่า น่าจะเป็นที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เท่านั้น เพราะยังไม่มีการตัดสิน แต่เมื่อมาถึงหน้าคุกจึงรู้ว่า “นี่คือคุกเปรย์ซอร์”ถามแกมหยอกว่า
“นาทีนั้นคิดว่าจะตายแน่ไหม” เขาตอบทันทีว่า ...ไม่นะ ไม่กลัวเลย ผมยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ตกใจ หรือมีความกลัวแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเราถูกฝึกจากกองทัพธรรม และทำงานภาคสนามมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเข้าใจและยอมรับสภาพพร้อมปรับตัวกับความยากลำบากตรงนั้น เพียงแต่นาทีนั้นมีความกังวลเรื่องรูปคดีมาก กว่าว่าจะจบลงอย่างไรทั้งนี้ คุกเปรย์ซอร์เป็นตึกใหญ่ เหมือนโรงเรียน มี 2 ชั้น เจ้าหน้าที่เรือนจำแบ่ง 7 คนไทยเป็น 2 กลุ่ม ชายหญิง โดย ตายแน่ นอนกับ ร.ต.แซมดิน ขณะที่ พนิช นอนกับ วีระ ห้องมีขนาดกว้าง 1.7 เมตร ยาว 4.5 เมตร มีห้องน้ำในตัว แต่ไม่มีประตู น้ำค่อนข้างขุ่น
เขาว่าต้องซื้อน้ำเพื่ออาบและกิน แต่อย่างว่าที่นี่เป็นคุก ไม่ใช่โรงแรม โดยรวมไม่มีอะไรน่าอยู่ สกปรก อับชื้น ยุงเยอะ มีแมลงสาบ มีหนูวิ่งผ่านไปมาบ้าง แต่ไม่มีการตีตรวน ทำร้ายร่างกาย
“
ความยากลำบากในเรื่องสถานที่ถือว่าน้อยมาก ที่สุดของผมในการอยู่คุกเปรย์ซอร์ คือการขาดอิสรภาพ โดยเฉพาะเรื่องการรับรู้ข่าวสารมากกว่า มันก็เครียดบ้างว่าจะได้ออกไปเมื่อไร แต่ไม่ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย จับลูกกรงเขย่า ไม่มีแบบนั้น ก็ปรับสภาพกันไป” ตายแน่ ระบุส่วนเรื่องอาหารการกินถือว่าไม่ลำบาก ได้กินข้าวคุกเปรย์ซอร์แค่มื้อแรกเท่านั้นเพราะหิวมาก อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุกเปรย์ซอร์สามารถใช้เงินซื้ออาหารมาทำกินเองได้ หรือสั่งข้าวกล่องจากข้างนอกมากินได้ สถานทูตไทยจึงส่งข้าวกล่องมาให้พวกเราทุกวัน ถือว่ากินได้นอนหลับ
เขาเล่าถึงกิจวัตรประจำวันในคุกเปรย์ซอร์ว่า ทุกวันคณะคนไทยจะได้รับอิสรภาพให้มาสูดอากาศนอกห้องวันละ 2 รอบ เช้าเย็น รวม4 ชั่วโมง ส่วนเวลาว่างในห้องจะใช้เวลาคุยกับพี่แซมดินเยอะมาก นอกจากนั้นก็เล่นโยคะ วิดพื้นตามเรื่องตามราวเหมือนในหนังฝรั่งที่อยู่ในคุกไม่มีอะไรทำ ออกมาเลยกล้ามโต
“
ตายแน่” ปิดท้ายบทสนทนาเรื่องคุกเปรย์ซอร์ที่เกือบจะรู้สึก “ตายแน่” สมชื่อว่า ชะตากรรมทั้ง 7 คนอยู่ที่ศาลกัมพูชา ไม่มีใครสั่งศาลได้ พวกเราให้การตามข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่ทำไปเพราะคิดว่าอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งศาลก็รับฟัง โดยวันที่ตัดสินคดีตัวเองยัง 50 : 50 ด้วยซ้ำว่าจะรอดหรือไม่ พอศาลอ่านคำพิพากษาว่าพวกเราผิด และต้องถูกจำคุก 9 เดือน คิดเลยว่า “อ้าว กูต้องกลับเข้าไปในคุกเปรย์ซอร์อีกหรือเนี่ย” เพราะล่ามแปลแค่จำคุก 9 เดือน แต่ไม่ได้แปลต่อว่ารอลงอาญา พอมารู้ตอนหลังว่ารอลงอาญาก็ยังงงๆ แต่ก็เฮ้อ! โล่งอก (ยิ้ม)

