posttoday

ฟ้องซ้อน-ฟ้องซำ

24 มกราคม 2554

....สมผล ตระกูลรุ่ง

คนที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลย ล้วนแต่มีความเดือดร้อนทั้งนั้น คนที่ต้องเป็นโจทก์ แสดงว่า ถูกคนอื่นเขาโกงหรือถูกทำร้าย

ส่วนคนที่เป็นจำเลย แน่นอนว่า ต้องถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้หรือให้ต้องรับโทษ ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ คนที่เป็นความต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่ว่าฐานะใด ย่อมหนีความเดือดร้อนไม่พ้น

การใช้สิทธิทางศาล จึงควรเป็นหนทางสุดท้ายที่ไม่สามารถแก้ไขโดยวิธีทางอื่นได้แล้ว

กฎหมายเข้าใจถึงสัจธรรมนี้ดี จึงได้วางหลักไว้ว่า เรื่องที่เป็นข้อพิพาทเดียว ต้องได้รับการพิจารณาครั้งเดียว กฎหมายไม่ให้ฟ้อง ฟ้องซ้ำฟ้องซ้อน เพราะคนที่เดือดร้อนคือคนที่มีฐานะทางการเงินน้อย

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงได้บัญญัติห้ามการฟ้องซ้ำฟ้องซ้อนเอาไว้

การฟ้องซ้ำ เป็นการฟ้องคดีที่เคยฟ้องร้องกันมาก่อนจนศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดไปแล้ว ส่วนการฟ้องซ้อน คือการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันกับคดีที่ได้ฟ้องต่อศาลไปก่อนแล้ว แต่คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดเรื่องฟ้องซ้อนไว้ในมาตรา 173 เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว ให้ศาลออกหมายส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดี...นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น...

การฟ้องซ้อนจะต้องเป็นการซ้ำซ้อนกันที่ศาล ถ้าเรื่องหนึ่งอยู่ที่ศาล อีกเรื่องหนึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน กรณีอย่างนี้ ไม่ใช่การฟ้องซ้อน ปัญหาที่สำคัญคือ คำว่า ศาล จะหมายถึงศาลไหน เพราะปัจจุบันมีศาลมากมายหลากหลาย

ถ้าฟ้องคดีเรื่องเดียวกัน ในศาลเดียวกัน ก็คงไม่ต้องตีความ เพราะตรงไปตรงมาตามตัวบทกฎหมาย ถ้าฟ้องต่างศาลอาจเกิดปัญหาได้

รัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีศาล 4 ศาล คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร ทั้ง 4 ศาล มีอำนาจการพิจารณาคดีแตกต่างกันไป

คำว่า ศาลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 จะหมายถึงศาลใด ก็ต้องย้อนไปดูคำนิยามในมาตรา 1 (1) ซึ่งให้คำนิยามไว้ว่า ศาลหมายความว่า ศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง

คำว่า ศาลยุติธรรม จึงน่าจะหมายถึงศาลยุติธรรมตามความหมายของรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลยุติธรรม ก็ยังแบ่งออกเป็นหลายศาล ทั้งศาลที่มีอำนาจการพิจารณาเหมือนกัน แต่แบ่งกันด้วยเขตพื้นที่หรือความสำคัญของคดีว่าเป็นคดีเล็กหรือคดีใหญ่ หรือแบ่งกันด้วยประเภทของคดีเป็นศาลชำนัญการพิเศษเฉพาะด้าน

คดีบางคดีมีความคาบเกี่ยวกันระหว่างศาลในศาลยุติธรรมด้วยกันเอง เช่น สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็น ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือสิทธิบัตร ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ แต่ในสัญญานั้นๆ ก็มักจะมีข้อตกลงเรื่องทั่วๆ ไปที่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญารวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลแพ่ง

กรณีที่เป็นปัญหามากน่าจะเป็นอำนาจของศาลปกครองกับอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งมีปัญหาเรื่องอำนาจศาลคาบเกี่ยวกันมาก

หากปรากฏว่า คดีในเรื่องเดียวกันได้ฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลปกครองได้รับไว้พิจารณาแล้ว หากผู้ฟ้องคดีนำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องต่อศาลแพ่งอีก ผลจะเป็นอย่างไร จะเป็นการฟ้องซ้อนกันหรือไม่

หากพิจารณาจากข้อกฎหมายข้างต้นแล้ว กรณีดังกล่าว ไม่น่าจะถือว่าเป็นการฟ้องซ้อนได้ เพราะศาลปกครองไม่ใช่ศาลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ฉะนั้น กรณีดังกล่าว ศาลแพ่งน่าจะต้องพิจารณาก่อนว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งหรือไม่ หากเห็นว่า คดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่ง ศาลแพ่งก็ไม่ควรจะรับคดีเรื่องนั้นไว้พิจารณา หากรับไว้แล้วก็ต้องจำหน่ายคดีออกไป

ฟ้องซ้ำฟ้องซ้อนเป็นเรื่องที่ต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งศาลมีหน้าที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ แต่ถ้าเป็นรักซ้ำรักซ้อน คงต้องตัวใครตัวมัน

เพราะศาลเองก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าศาลประจำบ้านครับ

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"