posttoday

'วิโรจน์'ปูดคนในรัฐบาลจ้องตบทรัพย์เรือฟริเกต 1,700ล้านบาท

04 เมษายน 2567

'วิโรจน์'อ้างสายข่าวกองทัพปูดคนในรัฐบาลจ้องตบทรัพย์เรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้านบาท ผิดหวัง"บิ๊กทิน"ปมจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในประเทศ ทำธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีแต่ความมืดมน วอนหยุดเล่นละครการพัฒนาร่วมกัน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า การปฏิรูปกองทัพเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ กับประชาชนดีขึ้น ไม่ใช่การทำลายกองทัพ หรือด้อยค่ากองทัพ
 ตามที่นายสุทินให้สัมภาษณ์ตามที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์  หากกองทัพดำเนินการ ฝืนซื้ออาวุธ โดยไม่สนใจเสียงประชาชน ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ตกต่ำลงและมีกลุ่มก้อนการเมืองฉวยอคติประชาชนไปตบทรัพย์งบประมาณของกองทัพ 

"ผมมีสายข่าวในกองทัพเรือ ถึงการจัดซื้อเรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้าน มีคนของรัฐบาล พยายามต่อสายจะคุยกับกองทัพเรือด้วยแต่กองทัพเรือปฏิเสธและยอมถูกตัดงบเหลือ 850 ล้านบาท แต่สุดท้ายกองทัพเรือกลับถูกตัดงบประมาณดังกล่าว แม้กองทัพเรือจะขออุทธรณ์ กรรมาธิการงบประมาณ ก็ยังตัดงบประมาณ"

นายวิโรจน์ ระบุว่า ในอีก 2 ปีเรือฟริเกตไทยต้องจะต้องปลดระวางลงอีก 1 ลำ ทำให้เหลือเรือฟิเกรตเพียง 3 ลำ อาจทำให้ไม่เพียงพอ ทั้งที่มีความจำเป็นเพราะจะต้องคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางเรือ คุ้มกันเรือน้ำมัน และเรือสินค้า รวมถึงลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน พร้อมยังย้ำว่า การจัดซื้อเรือฟริเกตลำนี้ จะเป็นการต่อเรือรบขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ เกิดการจ้างงาน และซื้อวัสดุในประเทศมหาศาล ดังนั้น การตัดงบประมาณครั้งนี้ จึงเป็นการตัดโอกาสประเทศ และอาจจะต้องรอถึงปี 2569 กองทัพเรือ ถึงจะสามารถของบประมาณใหม่ได้ 

นายวิโรจน์ ยังเปิดคลิปงานสัมมนาทิศทางอุตสาหกรรมเพื่อความมั่นคง ที่นายสุทินขอให้สภากลาโหม จัดซื้อยุทโธปกรณ์ในประเทศ หรือหากซื้อไม่ได้ก็ขอให้มีเงื่อนไขในการซื้อชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ด้วยว่า นายสุทินเป็นรัฐมนตรีกลาโหม มีอำนาจสั่งการแต่กลับขอกองทัพ จึงทำให้รู้สึกสิ้นหวัง และยืนยันได้ว่า หากนายสุทิน เป็นรัฐมนตรีอยู่ จะทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ มีแต่ความมืดมน 

นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการลดจำนวนนายพล ที่รัฐบาลหลอกประชาชน ที่ประกาศในปี 2570 จะลดจำนวนนายพลลงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นนายพลที่ไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจน โดยตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนนายพลที่ไม่มีความจำเป็นควรเป็นศูนย์ พร้อมเห็นว่า นายสุทิน ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ เพราะจำนวนนายพล จะลดลงอยู่แล้ว ที่ผ่านโรงเรียนเตรียมทหาร รับจำนวนนักเรียนเตรียมทหารลดลง 150 คน ตั้งแต่รุ่นผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงถือเป็นการตบตาประชาชน ฉกฉวยโอกาสการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหารที่รับเข้าน้อยลงมาอ้างผลงาน เช่นเดียวกับโครงการเออรี่ รีไทร์ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และงบประมาณบุคลากรของกองทัพ ก็ไม่ได้ลดลง 

ส่วนที่ดินราชพัสดุ 12 ล้านไร่ของกองทัพ นายวิโรจน์ ระบุว่า กองทัพบกครอบครอง ถึง 4,500,000 ไร่, กองทัพอากาศ-กองทัพเรือ รวมกัน 1,750,000 ไร่ รวมถึงยังมีที่ดินรกร้าง ทั้งที่เกษตรกรยังขาดแคลนที่ดินทำกิน แต่ที่ดินกองทัพบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ทั้งสนามกอล์ฟ สถานพักตากอาหาศ และสนามมวย โดยขาดความโปร่งใส ไม่ชี้แจงการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์ และมีการทำบัญชีถูกต้องหรือไม่ และที่ผ่านมารายงานกำไรเพียงเล็กน้อยทุกเหล่าทัพ เพียง 70 ล้านเท่านั้น พร้อมเห็นว่า รัฐบาล ควรนำที่ดินที่เกินจำเป็นของกองทัพคืนแก่รัฐบาล เพื่อนำไปแบ่งสรรให้ท้องถิ่น สร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็น เพื่อให้เกิดความเจริญ และเศรษฐกิจชุมชน 

นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพที่เหตุใดไม่ซื้ออาวุธกับผู้ประกอบการในประเทศ ที่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง มีอะไหล่สำรอง และมีวิศวกรซ่อมแซม แต่กลับจัดซื้อกับโบรคเกอร์ ที่อ้างเป็น SMEs และใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ล็อบบี้ เคลียร์เงินทอน ยกเว้นภาษี และนำอาวุธจากต่างประเทศ มาขายให้กับกองทัพ เมื่อชำรุดก็ต้องรออะไหล่นาน หรือปิดบริษัททิ้ง 

นายวิโรจน์ ยังเห็นว่า นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลในการบริหารกองทัพ ไม่ได้มีนโยบายใดใหม่ แต่เป็นนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงขอถามนายสุทิน กล้ามองหน้ากองทัพเรือ ที่ยึดหลัก และรายละเอียด เพื่อให้เกิดการอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศไทยหรือไม่ และขอให้นายสุทิน หยุดเล่นละครการพัฒนาร่วมกัน เพราะละครเช่นนี้ จะไม่สามารถหวังได้คะแนนเลือกตั้งได้อีกแล้ว เพราะประชาชนกินข้าว ไม่ได้กินช็อกมินต์