posttoday

นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางเวที UNไทย ปรับเป้าปี 50 เป็นกลางทางคาร์บอน

21 กันยายน 2566

รัฐบาลเล็งออกกฎหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ ร่วมรับมือ Climate Change นายกรัฐมนตรีชูเป้าปี 50 เป็นกลางทางคาร์บอน ในการประชุมผู้นำเวที UNGA 78 ที่นครนิวยอร์ก

ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78)  ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนและร้ายแรงในปัจจุบัน ซึ่งช่วงเวลาผ่านมาได้มีโอกาสพบปะกับเกษตรกรของประเทศไทย และรับทราบโดยตรงถึงผลกระทบร้ายแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตของเกษตรกร จึงเป็นสิ่งที่เราต้องลงมือแก้ไขปัญหาทันที

 

ไทยขอชื่นชมวาระเร่งด่วนของเลขาธิการสหประชาชาติที่ได้สนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ให้ใกล้เคียงกับปี ค.ศ. 2050 มากที่สุด พร้อมนำเสนอแผนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน รวมถึงการเลิกใช้ถ่านหินภายในปี ค.ศ. 2040 และเตรียมการสนับสนุนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดขึ้น ฉบับปรับปรุง (Nationally Determined Contributions : NDCs) สำหรับปี ค.ศ. 2025 ซึ่งจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ทั้งหมด

 

ไทยพยายามอย่างที่สุดที่จะร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งคำนึงถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายใน การเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินและการสร้างขีดความสามารถ โดยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ UNFCCC COP ครั้งที่ 26 ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาที่สำคัญและมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050

นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางเวที UNไทย ปรับเป้าปี 50 เป็นกลางทางคาร์บอน

โดยเราได้เพิ่มเป้าหมายการสนับสนุนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดขึ้น (NDC) จาก 20% เป็น 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งมีการดำเนินการที่มีผลเป็นรูปธรรม สะท้อนได้จากยุทธศาสตร์การพัฒนาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในระยะยาว โดยประเทศไทยได้ทำงานอย่างหนักเพื่อจะบรรลุภารกิจที่สำคัญยิ่งนี้

 

รัฐบาลใช้เป้าหมายเหล่านี้ในการร่างแผนพลังงานแห่งชาติขึ้นใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงในภาคการขนส่ง การเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และการเตรียมการที่จะยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน

 

ไทยได้ดำเนินโครงการนำร่องโดยใช้แนวความคิดจากเกษตรกรรมยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประสบความสำเร็จพร้อมต่อยอดโครงการ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศอีกด้วย

 

รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) สนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และการวัดไฟฟ้าแบบสุทธิ (net-metering) เพื่อจูงใจการผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุม 55% ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2037

 

พร้อมกันนี้ ประเทศไทยยังได้ส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียว (Green Finance) อย่างแข็งขันผ่านการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันสามารถระดมเงินได้ในจำนวน 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านกลไกนี้ ไทยจะออกธนบัตรเชื่อมโยงกับความยั่งยืน กระตุ้นการเติบโตของพันธบัตรสีเขียว เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรต่างๆ จะได้รับแรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมาย SDG

นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางเวที UNไทย ปรับเป้าปี 50 เป็นกลางทางคาร์บอน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ล่าสุดได้จัดตั้ง กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Department of Climate Change and Environment) ขึ้น เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะและเพื่อดำเนินการตามพันธกรณีที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะผลักดันพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบบังคับ เพื่อสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศให้แก่ทุกภาคส่วน

 

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยยังคงเร่งดำเนินการต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะบรรลุเป้าหมายและเอาชนะวิกฤตการณ์นี้

นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางเวที UNไทย ปรับเป้าปี 50 เป็นกลางทางคาร์บอน

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า

 

“ตามที่ผมได้ให้คำมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน #SDG ไป วันนี้ ผมได้แสดงจุดยืนและวิสัยทัศน์อีกหลายหลายเวทีภายใต้กรอบ #UNGA78 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในระดับภูมิภาคและระดับโลก ประกอบด้วย

 

1. การหารือ High-level Dialogue on Financing for Development ซึ่งผมย้ำการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศด้านภาษีและส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อ SDG อย่างเสมอภาค ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย

 

2. Climate Ambition Summit หลังจากที่ได้พูดคุยกับพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผมคิดว่าไทยต้องมุ่งสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลจะปรับแผนพลังงานชาติเพื่อให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการผลิตและใช้ EV ปรับวิธีทำการเกษตรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเตรียมร่างกฎหมายรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

3. การประชุมคู่ขนานในกรอบ #SDGSummit ซึ่งไทยเป็นผู้ประสานงานของอาเซียนในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้สอดคล้องกันทั้งภูมิภาค ไทยจึงมีแผนร่วมมือกับมิตรประเทศในอาเซียนจัดทำ ‘ASEAN Green Agenda’ เพื่อเป็นแนวทางหลักสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาอาเซียนให้กลายมาเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเป็นจุดเชื่อมโยงหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก

 

รัฐบาลไทยพร้อมดำเนินการตามวิสัยทัศน์เหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ และเร่งพัฒนาความร่วมมือ SDG ในกรอบอาเซียน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนครับ”