จตุพรเหน็บประยุทธ์เสนอพักโทษทักษิณ เพื่อไม่เป็นภาระรัฐบาลใหม่
จตุพร พรหมพันธุ์ แนะประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอพักโทษทักษิณปล่อยตัวกลับบ้าน หลังได้รับสิทธิลดโทษจำคุกเหลือ1ปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระรัฐบาลใหม่
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ใจ!!” ระบุว่า เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการลดโทษเหลือติดคุก 1 ปีย่อมเข้าเงื่อนไขได้รับพิจารณาให้พักโทษได้โดยทันที นายทักษิณ ได้ลดโทษจาก 8 ปี เหลือติดคุก 1 ปี มาเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง ถ้าในปีนี้มีการอภัยโทษอีกครั้งจะเข้าข่ายได้รับการพ้นโทษอัตโนมัติเพราะเหลือโทษติดคุกต่ำกว่า 1 ปี เข้าตามหลักเกณฑ์พิจารณาให้พักโทษได้
อีกทั้งเมื่อการพักโทษของนายทักษิณและขณะนี้เข้าเงื่อนไขแล้ว คงไม่มีคณะกรรมการพักโทษคนใดจะมีความเห็นคัดค้านเป็นอย่างอื่น อีกทั้งไม่ต้องเป็นภาระต่อรัฐบาลใหม่ด้วย
ดังนั้น วันจันทร์ (5 ก.ย.2566) ที่จะถึงนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังทำหน้าที่อยู่ ก็ควรทบทวนความคิด แล้วเสนอปล่อยตัวให้ทักษิณ ได้รับสิทธิ์พักโทษได้เลยจะดีกว่า
นายจตุพรระบุว่า ถ้าการติดโทษอยู่โรงพยาบาลเหมือนการติดคุกแล้ว รัฐบาลควรพักโทษให้ทักษิณ ได้กลับบ้านจะดีกว่า อีกอย่างประชาชนไม่ต้องมาติดใจเรื่องนี้กันอีกว่า ป่วยจริงหรือไม่จริง เมื่อมาถึงไหนกันแล้ว ประชาชนจะไม่ต้องจับตาเฝ้าดูว่า เป็นนักโทษอภิสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งจะได้จบเรื่องนี้กัน จะได้ไปคิดเรื่องชาติบ้านเมืองอย่างอื่นกันต่อ
นายจตุพร กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่จะแถลงนโยบายวันที่ 11 ก.ย.2566 สิ่งสำคัญต้องจับตากรณีของนายเศรษฐา จะถูกร้องเรียน ตรวจสอบด้านมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยมีกรณีตัวอย่างของนางปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต ทั้งที่ได้รับช่วงถือครองที่ดินมา และไม่ได้เป็นผู้บุกเบิกถือครองที่ดินในป่าสงวนมาก่อนเลย จึงสะท้อนถึงจริยธรรมทางการเมืองมีมาตรฐานสูงและมีโทษรุนแรง กว้างขวางต่อนักการเมือง
ส่วนการแถลงนโยบายของรัฐบาลคงไม่น่าสำคัญเท่าใดนัก เพราะเป็นเพียงองค์ประกอบทำให้ครบเงื่อนไขตาม รธน.เพื่อรัฐบาลจะได้ทำหน้าที่ สิ่งต้องติดตามจึงอยู่ที่การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านทั้งพรรคก้าวไกล ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย และพรรคเป็นธรรม จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน
อีกทั้งข้อมูลของนายเศรษฐา ก่อนมาเป็นนายกฯ นั้น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองจัดส่งให้ สส.และ สว.ครบทั้ง 750 คน ดังนั้น หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายแล้ว ฝ่ายค้านและ สว.คงถือเป็นวันเริ่มนับหนึ่งตรวจสอบนายเศรษฐาและอาจสั่นคลอนรัฐบาลจนเสถียรภาพส่ออาการอ่อนแอให้เห็นได้
ทั้งนี้ นายจตุพร เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลและไม่คุมงานด้านเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนย่อมเป็นการส่งเสริมให้พรรคก้าวไกลได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งโพลนิด้าสะท้อนชัดเจนว่า มีประชาชนนิยมก้าวไกลมากกว่า 62% ยิ่งเมื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีด้วยแล้ว คงเขย่ารัฐบาลนายเศรษฐา ต้องสะดุดและส่อแนวโน้มหลุดพ้นกันทั้งยวงได้อย่างไม่ยากเย็น