posttoday

ศิริกัญญาเผยก้าวไกลพร้อมทำหน้าในสภายังไม่จำเป็นต้องมีผู้นำฝ่ายค้าน

18 สิงหาคม 2566

ศิริกัญญา เผยสส.ก้าวไกลเคาะ21ส.ค.กำหนดทิศทางโหวตนายกฯโดยไม่เห็นชอบแคนิเดตจากเพื่อไทย มองการตั้งรัฐบาลแห่งชาติยุติความขัดแย้งได้เป็นเรื่องดีแต่ไม่ใช่หันมาตบกับก้าวไกลแทนย้ำก้าวไกลยังไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านรอคดีพิธาคลี่คลายก่อน

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการโหวตนายกรัฐมนตรี หลังพรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการจัดตั้งรัฐบาลว่า คงจะมีความชัดเจนแล้วว่าการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติ และที่นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่ามีครบ314เสียงก็น่าจะมีพรรคพลังประชารัฐมาเป็นพรรคสุดท้าย จึงคิดว่าไม่น่าจะเหลืออะไรแล้วที่จะต้องงดออกเสียง ก็คงจะไม่เห็นชอบ ทั้งนี้ก็ต้องมีมติที่ประชุม สส.ออกมาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค.ว่าจะโหวตกันไปในทิศทางใด

ส่วนรู้สึกอย่างไรหลังจากที่พรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรคร่วมไทยสร้างชาติมองว่า คาดเดาได้มาเป็นระยะ สัญญาณออกตอนที่เชิญไปพูดคุยกันที่พรรค มีการจิบน้ำช็อกมิ้นต์ กันก็เริ่มเห็นสัญญาแล้วว่าอาจจะต้องมีการเข้าร่วมรัฐบาลจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้ว ซึ่งก็พอจะเดาทิศทางได้ และยอมรับว่า ผิดหวังไม่คิดว่าจะมาถึงวันนี้ ถ้าแพ็คกันแน่นๆก็คงจะต่อสู้กับอำนาจนอกระบบ หรืออำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจากเสียง สว.ได้
 

เมื่อถามว่า ส่วนตัวมองอย่างไรบ้างที่ใช้คำว่ารัฐบาลแห่งชาติเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ นางสางศิริกัญญา ระบุว่า ถ้าประเทศเดินหน้าไปได้ก็น่าจะออกได้หลายทางไม่ใช่ทางนี้ แต่ถ้าจะเป็นการยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงเราก็ยินดีด้วยว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝั่งจะไม่ทะเลาะกัน ไม่ต้องมีความขัดแย้งแล้ว 
   
“และก็คงจะไม่สร้างคู่ขัดแย้งใหม่ขึ้นมา ถ้าเป็นรัฐบาลแห่งชาติจริง ก็คือไม่ได้ทะเลาะตบตีกับเพื่อไทยแล้ว มาทะเลาะตบตีกับก้าวไกลแทน แบบนี้เป็นต้น”

ส่วนพร้อมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า ตอนนี้ก็เริ่มทำงานแล้วและพร้อมทำงานเต็มที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ถึงไม่ได้เป็นรัฐบาลประชาชนก็เข้าใจและให้กำลังใจมาโดยตลอด และไม่ว่าจะอยู่สถานะไหนเขาก็พร้อมเป็นโหวตเตอร์ให้พรรคก้าวไกล เมื่อได้ยินแบบนี้เราก็สู้ตาย เริ่มทำงานในฐานะฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ งานในสภาฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ต้องมีฝ่ายอยู่แล้ว เดินหน้ายื่นกฎหมายมาเป็นระยะๆ และเดินหน้าตรวจสอบหน่วยงานรัฐตามปกติ

เมื่อถามว่าจะเรียกว่า พรรคก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้ายได้หรือยัง นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า วันนี้สถานะของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังอยู่ระหว่างการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นก็จะไม่มีหัวหน้าพรรคในสภา และพรรคก้าวไกลก็ยังไม่รีบที่จะตัดสินใจว่าจะเอาตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ รอให้คดีของนายพิธา คลี่คลายก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน 
  
ทั้งนี้แม้การจัดตั้งร้ฐบาลเสร็จสิ้นก่อน ก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะสถานะของผู้นำฝ่ายค้านไม่มีผลอะไรในการทำงานในฐานะฝ่ายค้านเลย แต่อาจจะมีผลในเรื่องการเป็นคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ 
   
“เมื่อหัวหน้าพรรคของเรายังไม่ได้เข้าสภา เราก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน”

เมื่อถามว่าประเมินอย่างไรบ้างในการจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้จะอยู่ได้กี่ปี นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เอาแง่ดี ถ้าสามารถร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จาก สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งสำเร็จก็จะยุบสภาทันที ดังนั้นกรอบเวลาก็ค่อนข้างที่จะชัดเจน ก็ขึ้นอยู่กับอายุของ สสร.ว่าจะมีอายุเท่าไร เช่น ถ้า สสร.ทำงาน 6เดือน รัฐบาลก็จะมีอายุได้2ปีก็น่าจะจบแล้ว ถ้ากรอบระยะเวลาของ สสร.ยาวออกไปก็น่าจะนานกว่านั้น ทั้งนี้ก็ต้องให้โอกาสรัฐบาลใหม่ได้ทำงานดูว่าจะมีข้อขัดแย้งกันเองอย่างไรหรือไม่แล้วยุบสภาก่อนโดยที่ยังไม่ต้องรอให้รัฐธรรมนูญแก้เสร็จ แต่ไม่ถึง4ปีแน่นอน เพราะกรอบระยะเวลาการร่างรัฐธรรมนูญยังไงก็ไม่ถึง4ปี ถ้าเกิน4ปีคือมีเจตนาที่จะยืดระยะเวลาออกไป

ส่วนการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค.มองอย่างไร เพราะ สว.ก็เริ่มออกมาแบไต๋ว่าจะไม่โหวต ให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน แคตดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เดายากมาก เพราะตอนนี้เราก็นั่งอยู่วงนอก ได้แต่คอยดูว่าข่าวจะเป็นอย่างไร และแน่นอนว่าอาจจะมีสว.บางส่วนออกมาพูดชัดเจนว่าอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และเชื่อว่าไม่ใช่ สว.ทั้งหมดและยังเอาใจช่วยให้การโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี

เมื่อถามว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเลือกในตอนนี้ จะมีผลกับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่นั้น มองว่า ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย การตัดสินใจอะไรไปมันจะต้องมีผลที่จะตามมาแน่นอน
  
“เราก็ได้พูดไปบ้างแล้วว่า การตัดสินใจครั้งนี้มันมีราคาที่จะต้องจ่าย ไม่ได้หมายความว่าเอาเงินไปจ่าย แต่มันมีต้นทุนที่สูงมากที่เขาจำเป็นจะต้องแบกรับไว้ และการไม่ฟังเสียงของผระชาชน หันหลังให้คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน มันคงต้องมีอะไรตอบแทนไปมากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลังที่เขาจำเป็นจะต้องทำ ก็คงต้องพยายามทำความเข้าใจ”