พร้อมพงศ์ เปิดภาพชูวิทย์จับมือเศรษฐาเสนอขายที่ดินแสนสิริแต่ถูกปฎิเสธ
'พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์' เปิดภาพถ่ายชูวิทย์จับมือเศรษฐาขอเจรจาเสนอขายที่ดินให้แสนสิริ2พันล้านบาทแต่ถูกปฎิเสธทำให้โกรธจนออกมาพูดความจริงครึ่งเดียว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ คณะทำงานด้านกฎหมายที่ได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงตอบโต้ กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง แถลงเมื่อวันที่ 3สิงหาคม 2566 กล่าวหานายเศรษฐาว่าทำนิติกรรมอำพรางหลีกเลี่ยงภาษี 521 ล้านบาท
เรื่องนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนเป็นการจับแพะชนแกะ เป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวของนายชูวิทย์ คือ ผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกันในทางกฎหมายอนุญาตให้ทำได้
ต่อมาเมื่อมีการขายให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบของกรมที่ดิน ระเบียบของกรมสรรพากร ตามกฎหมายมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ข้อ 4 (2)
นายพร้อมพงศ์ ตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์ซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหาฯ มีทีมกฎหมายเป็นที่ปรึกษา ก่อนมาแถลงข่าวกล่าวหานายเศรษฐา คงจะต้องศึกษารายละเอียดมาหมดแล้วว่าผู้ขายทั้ง 12คนนี้ได้ที่ดินมาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ก็รู้ แต่จงใจพูดข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้สังคมเข้าใจว่าได้ที่ดินมาพร้อมกันในวันที่แถลงข่าว เหมือนพูดความจริงครึ่งเดียว เหตุใดนายชูวิทย์จึงไม่พูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินได้มาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ปกปิดความจริงข้อนี้เพื่อใช้เป็นช่องในการกล่าวหานายเศรษฐาใช่หรือไม่
นายพร้อมพงษ์ ยังตั้งข้อสังเกตต่อว่า ผู้ซื้อเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้บริหารหลายคน แต่เหตุใดนายชูวิทย์จึงตั้งใจโจมตี ดิสเครดิตนายเศรษฐาเพียงคนเดียว ถามว่าหากไม่มีวาระซ่อนเร้นทำไมช่างบังเอิญเช่นนี้ ต่อมาก็กล่าวหานายเศรษฐามีเงินทอนเป็นตัวการร่วม หรือรู้เห็นเป็นใจซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลยได้รับเอกสารข้อหารือลงวันที่ 9 มีนาคม 2558 ระหว่างกรมที่ดิน กับกรมสรรพากรกรณีนี้ ซึ่งมีข้อสรุปออกมาเป็นไปตามคำสั่งกรมสรรพากรข้างต้น ดังนั้น การกล่าวหาว่านายเศรษฐารู้เห็นเป็นใจ หรือสมคบกับผู้ขายในการหลีกเลี่ยงภาษีมีเจตนากลั่นแกล้ง และหวังผลทางการเมืองต่อตัวนายเศรษฐา
สำหรับที่กล่าวหาว่านายเศรษฐาไม่ซื่อสัตย์ กระทำผิดกฎหมาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทอนในการซื้อขายที่ดินแปลงนี้โดยนายชูวิทย์อ้างถึงราคาที่ดินตารางวาละเกือบ 4 ล้านบาทข้อเท็จจริง ราคาที่ดินบริเวณดังกล่าวที่บริษัทแสนสิริซื้อจากเอกชนนั้นตั้งอยู่ที่ถนนสารสิน ตรงข้ามกับสวนลุมพินี เป็นทำเลทอง ซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด นักธุรกิจที่อยู่ในแวดวงอสังหารู้ว่าเป็นราคาปกติ
เมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินของนายชูวิทย์ที่ขายในเดือนเดียวกันให้แก่ บริษัทไรมอนแลนด์ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นายชูวิทย์อ้างผ่านสื่อว่าขายไป 2000 ล้านบาท ราคาตารางวาละเกือบ 3.6 ล้านบาท ทั้งที่ที่ดินนายชูวิทย์อยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ที่ดินของนายชูวิทย์ มีราคาไม่ต่างกับราคาที่บริษัทแสนสิริซื้อ ตารางวาละ 3.9ล้าน เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาใดๆ ทั้งหมดที่นายชูวิทย์ ได้แถลงมาจึงน่าจะเป็นความเท็จ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
พฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีความเจ็บแค้น ไม่มีปัญหา และไม่ได้ขายที่ดินของนายชูวิทย์ให้บริษัทแสนสิริ รวมถึงไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆนั้น นายชูวิทย์อาจจะความจำอาจจะสั้น วันนี้จึงขอมาจับโกหกนายชูวิทย์ ซึ่งผมมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายว่านายชูวิทย์ เคยไปพบผู้บริหารบริษัทแสนสิริ พร้อมนายเศรษฐา เมื่อ 8 กันยายน 2565 ภาพจากกล้องวงจรปิดก็มี เพื่อเสนอขายที่ดินแปลงของตนเองให้บริษัทแสนสิริ
แต่ท้ายที่สุดทางแสนสิริปฏิเสธซื้อที่ดินของนายชูวิทย์เป็นเหตุให้นายชูวิทย์โกรธและดำเนินการในลักษณะนี้ใช่หรือไม่ ถามว่าจริงหรือไม่ ที่ก่อนที่นายชูวิทย์จะมาแถลงข่าวได้พยายามเสนอขายที่ดินให้บริษัทแสนสิริอีกครั้งโดยเสนอราคาเพิ่มเป็น 2000 ล้านบาท แต่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง เรื่องนี้คือประเด็นที่ทำให้นายชูวิทย์ไม่พอใจใช่หรือไม่
ภาพทั้งหมดเกิดขึ้นที่บริษัทแสนสิริ ซึ่งเท่าที่ทราบ นายชูวิทย์ ไม่ได้มีความสนิทสนมกับนายเศรษฐาถึงขนาดที่จะเข้าไปเยี่ยมกันถึงที่บริษัทได้ แต่ในภาพกับจับมือ ดูสนิทสนม นี่คือพฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่ตรงข้ามกับคำพูดที่ว่า แฉเพื่อชาติ ตนอยากถามว่าวันนี้ นายชูวิทย์แฉเพื่อใครกันแน่ และ นายชูวิทย์ในฐานะที่เป็นคนมีความกว้างขวาง มีเพื่อนอยู่ทั้งในวงการทหาร และนักการเมือง ใครๆ ก็รู้ว่านายชูวิทย์สนิทกับใคร ผู้มีอำนาจกลุ่มไหน
นายพร้อมพงษ์ ยังตั้งคำถาม นายชูวิทย์ออกมาเป็นหัวขบวนเปิดเกมส์เขี่ยบอลสาดโคลนเป็นคนแรก เพื่อดิสเคดิตนายเศรษฐา ก่อนการโหวตนายกฯเพียงไม่กี่วันว่าไม่มีความเหมาะสม ถามว่า เป้าหมายของนายชูวิทย์เพื่อทำให้นายเศรษฐาขาดคุณสมบัติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) เรื่องจริยธรรม ถามว่า นายชูวิทย์ รับงานใครมา หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ใครกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือไม่ นี่เป็นคำถามให้นายชูวิทย์ต้องตอบ
สุดท้าย นายชูวิทย์กล่าวหานายเศรษฐาว่ามีพฤติกรรมอำพราง เเละเห็นว่าคนที่มีพฤติกรรมอำพรางน่าจะเป็นนายชูวิทย์มากกว่า เพราะเวลานี้มีประเด็นที่ กทม.ร่วมกับอัยการต้องมานั่งประชุมกันในสิ่งที่นายชูวิทย์อำพรางไว้กรณีที่จะต้องติดคุก 5 ปี แลกกับการยกที่ดินเป็นสวนสาธารณะ แต่นายชูวิทย์กลับสู้กับ กทม.และอัยการว่าเป็นที่ของบริษัท ตัวเองจะไปยกให้สาธารณะได้อย่างไร และยังเสียภาษีอยู่ตลอด แถมกำหนดเวลาเปิด-ปิดสวนจนกทม.เข้าไปดำเนินการอะไรไม่ได้เลย ขอถามว่าใครมีพฤติกรรมอำพรางกันแน่ สังคมสงสัยว่านายชูวิทย์คือ ลักษณะน่าจะเป็นโมฆะบุรุษใช่หรือไม่
นายพร้อมพงษ์ ยังฝากถึงสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว .ที่มีความกังวลต่อคุณสมบัติ ของนายเศรษฐา ว่าขอให้สบายใจได้ ทางพรรคเพื่อไทยตรวจสอบมาอย่างดีเเล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วน หลังการแถลงข่าว นายพร้อมพงศ์ เรียกพนักงานจัดส่งเอกสาร ส่งภาพ เเผ่นป้ายไวนิล ขนาดใหญ่ ที่นำมาเเถลงข่าวซึ่งวันที่นายชูวิทย์เข้า
เจรจาขายที่ดินต่อบริษัทแสนสิริ ซึ่งขณะนั้นมีนายเศรษฐาเป็นประธาน เป็นภาพที่ทั้ง 2 จับมือ กันอย่างชื่นมื่น ไปให้นายชูวิทย์ถึงที่โรงแรมเดวิสเพื่อทวนความจำของนายชูวิทย์ด้วย


