posttoday

'เสรี'ฟาดผู้ตรวจการแผ่นดินสั่งชะลอโหวตนายกฯ-สอบมติรัฐสภาไม่ใช่หน้าที่

25 กรกฎาคม 2566

"สว. เสรี" ฟาดผู้ตรวจการแผ่นดินสั่งชะลอโหวตนายกฯ ตรวจสอบมติรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ต้องแก้ปัญหาในอนาคต ย้ำ นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ ต้องทำหน้าที่ถ่วงดุลกัน หวั่นการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทำให้ประชาชนเกิดความสับสน

ระหว่างการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณารายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2564

นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. อภิปรายว่า อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องทำตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ จะขอไม่ก้าวล่วงในอำนาจศาล แต่เห็นว่าอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ต้องเสียงบประมาณการจ่ายให้กับองค์กรนี้นับพันล้าน ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นหนึ่งในเจ็ดองค์กร ที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2540 เพื่อแก้ปัญหาในอนาคต และเพื่อการทำงานมีประสิทธิภาพไม่ใช่ทำตามกระแสหรือตามที่มีผู้ยื่นคำร้อง 17 เรื่องทำให้เป็นกระแสกดดันผู้ตรวจการแผ่นดินให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
 

ส่วนตัวเข้าใจเพราะปัจจุบันคน และหน่วยงานต่างๆ กลัวทัวร์ลงกันเยอะ จึงทำให้มีแรงกดดันในสังคมไทย แต่ส่วนตัวเห็นว่าหลายหน่วยงานต้องมีมาตรฐาน ในการทำงาน เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและการมีมาตรฐานนั้น ต้องยึดหลักยึดมั่นในรัฐธรรมนูญที่แบ่งหน้าที่ชัดเจนแล้วว่ามีฝ่ายนิติบัญญัติบริหารและตุลาการ ซึ่งเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ในสภา ใช้ดุลยพินิจของสมาชิกปัจจุบัน ทำงานร่วมกัน 750 คน การทำหน้าที่ในรัฐสภาถือว่าเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ การทำหน้าที่ในรัฐสภาเป็นอำนาจอธิปไตยของชาติ ต้องมีคนถ่วงดุลอำนาจระหว่างนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการซึ่งกันและกัน

ดังนั้น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มีความชัดเจนต้องแก้ปัญหาใน 2-3 เรื่องตามบทบัญญัติไว้ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ คือมติรัฐสภา และเมื่อท่านได้งบประมาณไป แล้วใช้อำนาจในทางที่เกิดปัญหาต่อบ้านเมืองได้ การใช้อำนาจทางนิติบัญญัติเมื่อตัดสินแล้วต้องยุติในรัฐสภา มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าสภา ตัดสินวินิจฉัยเรื่องใดไปแล้วส่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ต้องกลั่นกรองตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความรู้ความสามารถ ว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นการขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นการแบ่งแยกอำนาจหรือไม่อย่างไร

ดังนั้นส่วนตัวเป็นห่วงว่า หากรัฐสภาต่อไปทำงานไปแล้ว เกิดมีคนไม่พอใจหรือนักการเมืองด้วยกันเองไม่พอใจยื่นเรื่องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่มีคนร้องเยอะๆกลัวทัวร์ลงก็ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องคุยกันเพราะมันเกี่ยวเชื่อมโยงกับงบประมาณที่กำหนดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา
 

 

ดังนั้น การทำหน้าที่ ต้องมีกรอบพอสมควร กับการที่จะดำเนินการ จะกลับปรากฏว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินขอศาลรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภา งดหรือหยุดการดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรี ในการประชุมครั้งที่ 3 มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามสิทธิเสรีภาพก็สามารถยื่นได้ แต่ ไปขอให้รัฐสภางดการประชุมเพื่อรอคำวินิจฉัยของศาล ทั้งๆที่บ้านเมืองต้องมีนายกรัฐมนตรีต้องมีรัฐบาล เห็นหรือยังว่าบ้านเมืองเสียหายแค่ไหน ส่วนตัว ไม่ได้ห้ามเรื่องดุลยพินิจแต่มองว่า สิ่งที่ห้ามมิให้รัฐสภาประชุม หรือทำหน้าที่ต่อ อันนี้ไม่ใช่งานของผู้ตรวจการแผ่นดิน

ด้านนายฑิฆัมพร ยะลาร้องเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินชี้แจงทันทีว่า ได้มีการประเมินตัวชี้วัดเรื่องการทำงานว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของการร้องเรียนซึ่งผลตอบรับพอใจกว่า 80% ขณะที่สถาบันพระปกเกล้าสำรวจความเชื่อมั่นองค์กรอิสระพบว่าสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เปอร์เซ็นต์ที่สูงสุดในองค์กรอิสระคือ 62% เท่ากับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนเรื่องที่นายเสรีระบุถึงเรื่องการส่งข้อบังคับการประชุมที่ 41 ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น นายฑิฆัมพรยืนยันว่าองค์ประกอบครบถ้วนที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้
 
ส่วนข้อเสนอที่ให้ชะลอเรื่องเลือกนายกรัฐมนตรี นายฑิฆัมพร ระบุว่า หากข้อบังคับที่ 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหากเลือกนายกรัฐมนตรีไปก็จะเกิดผลเสียต่อรัฐธรรมนูญจึงขอให้พิจารณาเรื่องนี้ด้วย และเรื่องนี้เป็น การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยไปในทิศทางใด

ด้านนายเสรี ลุกขึ้นอภิปรายอีกครั้งว่าสถาบันพระปกเกล้าเอง ประเมินตัวเองได้ 100% ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินสู้ไม่ได้ ส่วนการที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่น ต่อศาลรัฐธรรมนูญมองว่าไม่สามารถทำได้และยังทำให้มองว่าสิ่งที่ส่งไปเป็นเรื่องข้อบังคับใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญซึ่งไม่เป็นเรื่องจริงทำให้สาธารณชนสับสน เพราะไม่ได้ลงมติถึงข้อบังคับและรัฐธรรมนูญอะไรใหญ่กว่ากันและผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ส่งรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เกี่ยวกับการเสนอชื่อนายกฯซ้ำได้ แต่ต้องมีสมาชิกรองรับ 2 ใน 3  อีกทั้งประธานรัฐสภา ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่ทำหน้าที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแล้ว