posttoday

ตั้งรัฐบาล66:เรืองไกร ลั่น ไม่ยอมปล่อยให้ พิธา บริหารประเทศไปก่อน

29 พฤษภาคม 2566

เรืองไกร ไล่บี้ กกต.ตรวจสอบ พิธา ถือหุ้นสื่อ ชี้ ปล่อยให้บริหารประเทศก่อน ไม่ได้ งัด คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อดีตส.ส.ถือหุ้นสื่อ เทียบเคียง ร้องขอตรวจสอบย้อนหลังถึงปี 2562 อ้างถ้า พิธา ผิดจริง โดนตัดสิทธิ์ย้อนหลัง ปฏิเสธ รับงาน มาเล่นงาน พิธา

วันที่29พ.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อให้ถ้อยคำ ภายหลังยื่นตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กรณีการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้นว่าเป็นการกระทำผิดขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

นายเรืองไกร กล่าวว่า มาให้ถ้อยคำกกต. ครั้งแรก หลังยื่นคำร้องไปแล้ว 4-5 ครั้ง ยังมีประเด็นเพิ่มเติม เนื่องจากมีการให้ความเห็นหลายทิศทาง ทั้งเชียร์ ไม่เห็นด้วย ตนได้ยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวินิจฉัยเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อมวลชนของผู้สมัคร ส.ส. มาส่งให้มอบให้ กกต.  จะเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ศาลพิจารณาจาก ข้อเท็จจริงว่า เป็นผู้ถือหุ้น หรือไม่ ประกอบกิจการ หรือจะกลับมาประกอบกิจการหรือไม่

ส่วนกรณีนักวิชาการออกมากล่าวหา อ่านกฎหมายไม่แตกฉานนั้น แม้ตนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่เป็นคนตรวจสอบนักกฎหมายอีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกท่านไปอ่านให้ดี ไม่ว่าพิธีกร นักวิชาการ ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ที่ไหนไปอ่านกฎหมายให้แม่นๆหน่อย ตนพอมีความรู้กฎหมายนิดหน่อย แต่ไม่เห็นด้วยที่ท่านให้ความเห็นต่อพี่น้องสื่อมวลชนแบบนี้

นายเรืองไกรกล่าวว่า นายพิธา เคยลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2562 จึงต้องย้อนไปตรวจสอบด้วย ถ้าถือหุ้นสื่อไอทีวี ตั้งแต่ลงสมัครรับเลือกตั้งปี 62 แล้วได้เป็น ส.ส. กกต.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตัดสิทธิ์นายพิธาย้อนหลัง ถ้าศาลพิจารณาออกมาใน ลักษณะที่ว่านายพิธาขาดคุณสมบัติตั้งแต่ปี 62 เงินประจำตำแหน่งต่างๆ ของนายพิธาและผู้ช่วยส.ส. อาจจะมีปัญหาตามมาด้วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้กกต.ย้อนกลับไปตรวจสอบตั้งแต่ปี 2562 โดยอ้างอิงแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกกต.ที่ผ่านมา  

นายเรืองไกรกล่าวว่า นายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะต้องมีการเซ็นรับรอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขต 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน และยังให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรี ซึ่งเข้าข่ายขาดคุณสมบัติทั้งหมด 

หากนายพิธาผ่านด่านไปได้จนถึงได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยืนยันที่จะเดินหน้าร้องเรียนต่อไปเพื่อยุบทั้งคณะรัฐมนตรี และเมื่อมีการรับรองสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็จะใช้วิธีการที่จะให้ส.ส.เข้าชื่อ 1 ใน 10 เพื่อยื่นร้องต่อศาล คู่ขนานไปด้วย เพื่อให้พิจารณาคุณสมบัตินายพิธา

เมื่อถามว่าประเด็นนี้จะขอให้กกต. เร่งพิจารณาเร็วขึ้นหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า กกต.คงจำเป็นต้องเร่ง เพราะเมื่อส.ส.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จะทำหนังสือให้ส.ส.ยื่นในนาม ส.ส. ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ ใช้สิทธิ์ 1 ใน 10 เข้าชื่อร้องตรง คู่ขนานไปกับกกต. เมื่อปี 2551 เคยร่วมลงชื่อสมัยเป็นส.ว. ร้อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และเมื่อเพื่อนส.ว.ขอให้เข้าชื่อด้วย ก็เข้าชื่อ คำวินิจฉัยของนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งไปเพราะเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่เพราะพจนานุกรม แต่เป็นเพราะใบหักภาษี ภงด.3  เช่นเดียวกับกรณีนายพิธา น้ำหนักจึงอยู่ที่บัญชีบมจ.006 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติ บริษัทมหาชนจำกัด สันนิษฐานไปก่อนว่าถูกต้อง และกกต.ควรนำไปประกอบการพิจารณา แต่ผู้วินิจฉัยคือศาลรัฐธรรมนูญ 

เมื่อถามว่าการร้องเรียนนายพิธา ต้องการมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่ได้รับงานใคร ตอนที่พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ร้องตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐ กรณีหุ้นสื่อ เขาก็เป็นคนบอกข้อมูลผมให้ไปตรวจสอบ แล้วต่อมา พรรคพลังประชารัฐ ร้องตรวจสอบพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองคนไหนมาถาม ตนก็ตอบ แต่เราไม่ได้ทำเรื่องรับจ้าง หรือค่าบริการ ไม่มีประวัติแบบนั้น 

เมื่อถามว่ามีคนตั้งข้อสังเกตว่าประเทศกำลังเดินหน้า เหตุใดจึงมาร้องเรียน นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเทศก็เดินหน้าไป แต่ถ้ามีคนเข้าข่ายกระทำความผิด หรือถูกตรวจสอบก็ต้องทำ ที่ผ่านมา เคยร้องเรียนทั้ง นายสมัคร สุนทรเวช นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

"กรณีนายพิธา จะมาบอกให้บริหารไปก่อนคงไม่ได้ สมัยนายอภิสิทธิ์ ก็ถูกขอมาแล้ว มีหลักการ จะไม่บอกใครก่อน เพราะกลัวถูกคนมาขอหรือล็อบบี้ ไม่ให้ยื่นเรื่อง แต่จะใช้วิธีเขียนเรื่องร้องเรียนเสร็จ แล้วแจ้งสื่อมวลชน ส่วนเรื่องผิดถูกนั้น ให้เป็นไปตามกระบวนการนี่คือเรืองไกร"นายเรืองไกรกล่าว