posttoday

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก10ปีไฮโซเนยโกงเงินวัดวชิรธรรม

28 กุมภาพันธ์ 2566

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก ไฮโซเนย 10 ปี ชี้มีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัต ปลอมแปลงเเอกสาร อมเงิน วัดวชิรธรรม เข้าบัญชีตัวเองและให้ชดใช้เงินคืนวัด 80 ล้านบาทเศษ

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.66 ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการและรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัตน์ หรือเนย ชยางกูล ณ อยุธยา อายุ 40 ปี เป็นจำเลยฐาน ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารใช้และใช้เอกสารปลอม ทำให้วัดวชิรธรรม และวัดสาขา ในกรุงเทพและต่างจังหวัดเสียหายและให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 80.1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย

คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เดิมสมเด็จพระวันรัต เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม อาพาธรักษาตัวที่รพ. ระหว่างปี2564-65 ทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ส่งเงินจำนวน 78.5 ล้านบาท เข้าบัญชีวัดวชิรธรรม เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดวชิรธรรมาราม และโครงการอื่นๆ มีพระวัรรัต เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ในหลายบัญชีอาทิ ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำภู วัตถุประสงค์ฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย จนเงินเพิ่มเป็น 80.1 ล้านบาท
   
จำเลยเป็นศิษย์คนสนิท รู้ว่าเงินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของพระวันรัตแต่เป็นของวัดวชิรธรรมฯ ได้ออกอุบายหลอกพระวันรัตให้ลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน หลายครั้ง เพื่อไปเบิกถอนเงินจากธนาคาร  แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เมื่อเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามพระวันรัต  ก็ไม่ได้รับสาย เพราะจำเลยให้ปิดเสียงและนำไปไว้ไกลๆ  จำเลยได้แจ้งศิษยคนอื่นๆว่าถ้าธนาคารโทรมาหาพระวันรัตเพื่อยืนยันการถอนเงิน ก็รับและให้บอกว่าให้โทรหาจำเลยเป็นต้น โดยมีการถอนเงินตั้งแต่หลักหมื่น จนถึงหลัก 50 ล้านบาท เพื่อส่งให้ บิดา มารดาและน้องจำเลย ทั้งนี้ได้โอนเงิน 50 ล้านบาทเข้าบัญชีจำเลยเอง

นอกจากนี้ จำเลยนำเงินที่หลอกลวงมาไปซื้อ รถเบนลีย์ บีเอ็มดับบลิว และรถราคาแพงหลายคัน กับจองและสั่งซื้อเลขป้ายทะเบียนสวย กระเป๋าราคาแพง อัญมณี ชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น ต่อมาพระวันรัตได้ทราบ เกี่ยวการโอนเงินวัดเข้าบัญชีจำเลย จึงสอบถามจำเลยซึ่งจำเลยตอบว่าโอนเงินผิด พระวันรัตจึงตำหนิจำเลยแล้วบอกให้โอนเงินกลับคืนมา แต่จำเลยไม่โอน ทั้งนี้จำเลยมีการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ต่อวัดบวร วัดรัตนวราราม ในหลายบัญชี จึงขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก และให้คืนเงิน 80.1 ล้านบาทแก่วัดวชิรธรรมาราม  ส่วนจำเลยให้การปฎิเสธ ทำนองว่า เป็นเงินได้มาโดยเสน่หา ชั้นพิจารณาคดีจำเลยถูกควบคุมตัวที่เรือนจำมาโดยตลอด
   
โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายอภิรัตน์ จำเลยมาจากเรือนจำ และมีญาติโยมลูกศิษย์วัดมาร่วมฟังคำพิพากษา
   
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัตโดยปลอมและใช้ใบถอนเงินปลอม โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2564 จำเลยได้ถอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2565 จำเลยยังได้โอนเงินจำนวน 30 ล้านบาทเศษเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลย โดยฝ่าฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระวันรัต ดังนั้นจากพฤติกรรมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยทุจริตมาตั้งแต่ต้นและปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามป.อาญามาตรา 265 และ 268 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ แก่วัดวชิรธรรมด้วย