หลวงปู่แฟบ สุภัทโท
....นพ.วิชัย โชควิวัฒน์
เมื่อบ่ายวันที่ 25 ธ.ค. 2553 ที่แล้วมา มีงานฌาปนกิจศพ
“พระสุปฏิปันโน” รูปหนึ่ง คือหลวงปู่แฟบ สุภัทโท ที่วัดป่าดงหวาย ซึ่งเป็นวัดในชนบท ในเขต อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร งานดังกล่าวดูจะไม่เป็นข่าว เพราะหลวงปู่มิใช่เกจิอาจารย์ชื่อดัง หรือพระผู้มีสมณศักดิ์สูง แต่มีผู้มางานฌาปนกิจศพของท่านมากมายล้นหลามนับหมื่นคน ทั้งจากเมืองและหมู่บ้านใกล้ไกล โดยเป็นพระภิกษุจากทั่วทุกสารทิศหลายพันรูป จึงน่าสนใจว่า เหตุใดหลวงปู่แฟบจึงมีศรัทธาบารมีสูงมากถึงเพียงนี้หลวงปู่แฟบ เกิดเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ปี 2465 ที่บ้านคำซะอี ต.คำซะอี อ.คำซะอี จ.นครพนมนามเดิมชื่อญาติ แต่เมื่อเกณฑ์ทหารมีการลงชื่อผิดพลาด เป็นชื่อแฟบ ท่านจึงชื่อแฟบมาตั้งแต่บัดนั้น และลูกศิษย์ ญาติ โยม เรียกชื่อท่านเพี้ยนไปเป็น แฟ้บ หรือแฟ๊บ ตามชื่อผงซักฟอกที่ชาวบ้านรู้จักกันดี
ก่อนหน้านั้น ท่านได้ดำรงตนเป็นพุทธมามกะ โดยเป็นมัคนายกของวัดในหมู่บ้าน ท่านมีความรู้ความสามารถทางช่าง จนได้เป็นหัวหน้าช่าง ออกแบบควบคุมการก่อสร้างกุฏิ ศาลา และกำแพงวัด โดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ เมื่อลูกๆ เริ่มโตกันหมดแล้ว ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานีสร้างห้องแถวให้คนเช่า 6 ห้อง
เมื่อภรรยาท่านล่วงลับไป ท่านก็ตัดสินใจออกบวชโดยมุ่งหน้าปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง โดยบวชเป็นพระฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2525 ได้รับฉายาว่า
“สุภัทโท” แปลว่า “ผู้ประพฤติงาม” เมื่อครั้งเยาว์วัย ท่านมีโอกาสกราบนมัสการพระสายวิปัสสนาธุระชื่อดัง คือ หลวงปู่เสาร์ กันตลีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ณ ถ้ำจำปากันตสีลาวาส บนภูผากูด บ้านคันแท ต.หนองสูง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร ในปัจจุบัน ท่านมีความประทับใจไม่รู้ลืม ก่อนบวชครั้งที่สองท่านเข้าวัดปฏิบัติธรรมได้พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ และพระอาจารย์คำแพง อัตตสันโต วัดบุญญานุสรณ์ เป็นผู้แนะนำการเดินจงกรม และนั่งภาวนา จนเดินจงกรมได้ตลอดคืน และต่อมานั่งภาวนาได้ตลอดคืนท่านถูกจริตกับการอดอาหาร แม้บวชเมื่อเข้าวัยชราแล้ว อดได้ถึง 5 วัน 7 วัน หรือถึง 15 วัน เดินจงกรมถึงวันละ 12 ชั่วโมงเป็นประจำ ไม่ติดสถานที่ทางบิณฑบาต บางครั้งเดินไปบิณฑบาตถึง 30 กิโลเมตร บางวันออกเดินตั้งแต่ตอนเย็นไปถึงหมู่บ้านก็สว่างพอดี
คำสอนของท่านเรียบง่าย ให้ละ ยศ ลาภ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้วนเป็น
“ของเดน” “พระพุทธเจ้าเพิ่นทิ้งแล้ว เราเก็บมาใช้ทำไม ไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นทางเดินของโลกเขา”ท่านเน้นการสอนให้ปฏิบัติกรรมฐาน
“พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นพระกรรมฐานทั้งนั้น ประสูติที่รุกขมูล ตรัสรู้ที่รุกขมูล ปรินิพพานที่รุกขมูล”ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านเรียบง่าย สมเป็นสมณศากยบุตรโดยแท้ กุฏิของท่านเป็นเรือนไม้หลังย่อมๆ ใต้ถุนสูง ชั้นบนมีห้องกั้นไว้แค่ห้องเดียว บั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านต้อนรับญาติโยมอยู่ณ ใต้ถุนกุฏิที่เปิดโล่ง มีเพียงม้วนผ้าใบบังลมบังฝนที่ด้านหลังเท่านั้น
สิ่งที่ท่านชักชวนศรัทธาญาติโยมให้สร้างคือ โรงพยาบาลท่านบอกว่า การทำบุญสร้างโรงพยาบาลมีอานิสงส์ยิ่งกว่าการทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร หรือศาลา กุฏิ ท่านบอกว่า
“ทำบุญกฐินร้อยกองพันกอง อานิสงส์ก็ไม่เท่าสร้างโรงพยาบาล ลองคิดดู โบสถ์ ศาลา มีคนไปบวชไปอยู่ทุกวันไหม ใช้คุ้มค่าไหม กฐินก็ไม่ได้มีทุกวันทุกเวลา หนึ่งปีมีครั้งเดียว แต่สร้างโรงพยาบาลมีอานิสงส์มาก เพราะมีคนเข้าออกตลอดเวลาไม่เคยขาด ทั้งกลางวันกลางคืนแน่นตลอด”ท่านได้บอกบุญญาติโยมสร้างซ่อมอาคาร ซื้อรถพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลชุมชนในละแวกนั้นหลายแห่ง เช่นที่ รพ.บ้านม่วง จ.สกลนคร รพ.นาหว้า จ.นครพนม รพ.เรณูนคร จ.นครพนม เป็นต้น
สิ่งก่อสร้างในพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดที่ท่านสร้าง คือ พระพุทธนิมิตเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่มีผู้นำไปถวายท่าน โดยสร้างหลังจากที่ท่านได้จัดทอดผ้าป่าถวายเงิน
“ช่วยชาติ” แก่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ไปแล้ว ได้เงิน1.4 ล้านบาท และทองคำ 2 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2546งานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของท่านคือ การสร้างโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยแห่งแรกของประเทศ ที่บริเวณกิโลเมตรที่ 6 ถนนสายพังโคนวาริชภูมิ จ.สกลนคร ตั้งงบประมาณไว้ 23 ล้านบาท โดยเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ขณะนี้ใช้เงินไปแล้วรวม 5 ล้านบาท กับอีก 2 ล้านบาท ที่หลวงปู่หามาซื้อที่ดินเพิ่มขยายให้ แต่ยังไม่ทันเสร็จ ท่านก็มรณภาพไปเสียก่อน
เชื่อว่าบรรดาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาและผู้มีจิตศรัทธาจะช่วยกันหาเงินมาสร้างต่อจนสำเร็จ แม้ประชาชนโดยมากจะมิใช่ผู้มีฐานะร่ำรวย แต่พิจารณาจากทั้งพระและฆราวาสที่มางานฌาปนกิจศพของหลวงปู่อย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ เชื่อว่าจะไม่มีใครยอมให้ปณิธานสุดท้ายของหลวงปู่ไม่บรรลุผลสำเร็จ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะได้มีส่วนร่วมสำคัญในการสานต่อปณิธานของหลวงปู่แฟบ เพราะนี้คือรูปธรรมของการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำโดยแท้


