เปิดขุมทรัพย์ 'ตู้ม้า' ตำรวจกระเป๋าตุง
ตำรวจท้องที่ทั้งในนครบาล และภูธรต่างรู้ดีว่า การที่ “ตู้ม้า” ถูกจับออกมาวางอย่างดาษดื่นในช่วงนี้ เป็นเพราะผลประโยชน์มากมายที่แอบแฝงอยู่ จนเรียกได้ว่าทั้งเจ้าของตู้และเจ้าหน้าที่รัฐที่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตักตวงเงินกันจนล้นกระเป๋า นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาสำทับว่าจะจัดการกับขบวนการการพนันประเภทนี้อย่างเด็ดขาด หลังจากพบว่า “ตู้ม้า” ของขบวนการใต้ดินถูกหยิบไปวางไว้ไม่เว้นแม้แต่กลางตลาด และหน้าโรงเรียน
ตำรวจท้องที่ทั้งในนครบาล และภูธรต่างรู้ดีว่า การที่ “ตู้ม้า” ถูกจับออกมาวางอย่างดาษดื่นในช่วงนี้ เป็นเพราะผลประโยชน์มากมายที่แอบแฝงอยู่ จนเรียกได้ว่าทั้งเจ้าของตู้และเจ้าหน้าที่รัฐที่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตักตวงเงินกันจนล้นกระเป๋า นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาสำทับว่าจะจัดการกับขบวนการการพนันประเภทนี้อย่างเด็ดขาด หลังจากพบว่า “ตู้ม้า” ของขบวนการใต้ดินถูกหยิบไปวางไว้ไม่เว้นแม้แต่กลางตลาด และหน้าโรงเรียน
โดย....วัยยศ งามขำ
ตำรวจท้องที่ทั้งในนครบาล และภูธรต่างรู้ดีว่า การที่ “ตู้ม้า” ถูกจับออกมาวางอย่างดาษดื่นในช่วงนี้ เป็นเพราะผลประโยชน์มากมายที่แอบแฝงอยู่ จนเรียกได้ว่าทั้งเจ้าของตู้และเจ้าหน้าที่รัฐที่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตักตวงเงินกันจนล้นกระเป๋า นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาสำทับว่าจะจัดการกับขบวนการการพนันประเภทนี้อย่างเด็ดขาด หลังจากพบว่า “ตู้ม้า” ของขบวนการใต้ดินถูกหยิบไปวางไว้ไม่เว้นแม้แต่กลางตลาด และหน้าโรงเรียน
ก่อนหน้านี้คงไม่ลืมกันว่า “บ่อนการพนัน” ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตำรวจมาโดยตลอด ในขณะที่ตู้ม้ากลับกลายเป็น “บ่อนเงียบ” ที่รีดเงินจากกระเป๋าเด็ก เยาวชน และคนรากหญ้า มาอย่างเนิ่นนาน โดยปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่ตู้ม้ามาติดตั้งอยู่ในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งได้นั้นจะไม่มีเจ้าหน้าที่รู้เห็น อย่างไรก็ตามใช่ว่าตู้การพนันอิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้จะสามารถนำไปวางไว้ทุกที่ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง แต่การวางตู้ม้าได้นั้นขึ้นอยู่กับคอนเนกชันระหว่าง “ตำรวจ” กับ “เจ้าของตู้” หรือผู้ได้รับสัมปทาน ที่แบ่งผลประโยชน์กันอย่างลงตัว
สำหรับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ขึ้นชื่อว่าตู้ม้านั้น โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ประเภทแรก คือ “ตู้ม้า” ซึ่งจะใช้เหรียญ 5 บาท หรือ 10 บาท ในการหยอดแต่ละรอบ ส่วนแบบที่สองนั้นจะดัดแปลงจากตู้ม้าให้เป็นรูปผลไม้แทน ในรูปแบบนี้จะเรียกว่า “ตู้ผลไม้” หรือแล้วแต่จะดัดแปลงเป็นรูปสัตว์ประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตามวิธีการเล่นนั้นก็จะเหมือนๆ กัน คือใช้การวิ่งเป็นรอบๆ รอบละประมาณ 30 วินาที แล้วให้ผู้เล่นเป็นผู้ที่เลือกแทงพนันตามอัตราราคาต่อรองต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอที่ไม่ต่างไปจากตู้สลอตแมชีนมากนัก และบางรอบอาจจะมีแจ็กพอตถึง 100 เหรียญ เรียกได้ว่า “เล่นง่ายจ่ายเร็ว”
ในวงการตำรวจท้องที่ และเสือพนัน เป็นที่รู้กันว่าในเขตกรุงเทพฯ นั้น มีผู้ได้รับสัมปทานเถื่อนหลักๆ อยู่ 3 รายใหญ่ๆ ที่คุ้นชื่อกันดี นั่นคือ “กุ๊งลิ้ง” “อาม่า” และ “เสี่ย อ.” ทั้งสามรายถือเป็นเอเยนต์ตู้ม้าที่ตำรวจท้องที่ต่างๆ รู้ดีอย่างคุ้นหู นอกจากนี้ยังมีนายหน้ารายย่อยที่จัดสรรผลประโยชน์ให้กับ 3 ก๊วนข้างต้นนำไปวางในท้องที่ต่างๆ ที่ตนเองสามารถเคลียร์หน้าเสื่อกับตำรวจได้อีกด้วย โดยการนำไปวางนั้นจะคิดกันเป็นคอก คอกละ 5 เครื่อง แต่จะเคลียร์ส่วยให้กับตำรวจเป็นจำนวนตู้ที่นำไปวาง จะมากหรือน้อยขึ้นกับรายได้ของตู้นั้นๆ ซึ่งแปรผันไปตามทำเลที่นำตู้ม้าไปวาง
“การวางตู้นั้นส่วนใหญ่แล้วในสถานบริการขนาดใหญ่จะไม่ค่อยมี เพราะเจ้าของไม่กล้าเสี่ยง แต่จะวางไว้ตามโต๊ะสนุกเกอร์ ร้านคาราโอเกะ ใต้ถุนอพาร์ตเมนต์ หรือตามชุมชน โดยบางตู้ที่มีคนเล่นจำนวนมากอาจจะมีรายได้ถึงวันละ 12 หมื่นบาทต่อตู้ นั่นคืออย่างน้อยๆ จะมีกำไรจากตู้ม้าราวเดือนละไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตู้ จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันค่าเคลียร์เงินที่ส่งให้กับตำรวจท้องที่จะสูงถึงตู้ละ 58 หมื่นบาทต่อเดือน และเคลียร์ให้ตำรวจส่วนกลางอีกอย่างน้อย 2 หน่วย หน่วยละ 5,000 บาทต่อเดือนต่อตู้” แหล่งข่าวตำรวจสอบสวนกลางที่อยู่ในชุดปราบปรามตู้ม้า กล่าว
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวด้วยว่า ในนครบาลมีหลายท้องที่ที่เป็นแหล่งของตู้ม้า โดยที่ขึ้นชื่อที่สุดอยู่ที่เขตท้องที่ สน.วัดพระยาไกร ตามที่นายกฯ ออกมาระบุ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีชุมชนจำนวนมาก และมีการแพร่กระจายของยาเสพติดค่อนข้างสูงกว่าท้องที่อื่น นอกจากนี้ยังมีท้องที่ สน.คลองตัน และ สน.ท่าเรือ ส่วนฝั่งธนบุรีก็เป็น สน.บางยี่ขัน ในขณะที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่ยังแพร่ระบาดอยู่ในเมืองใหญ่ๆ โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เช่น ปทุมธานี นนทบุรี เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน นครราชสีมา และขอนแก่น
ขณะที่แหล่งข่าวในพื้นที่ตำรวจนครบาลคนหนึ่งที่ทำหน้าที่สืบสวน บอกว่า การปราบปรามการพนันตู้ม้านั้นเหมือนกับการรักษาโรคเรื้อน หรือขี้กลาก พอรักษาหายเดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีก เหมือนกับตู้ม้าหลังจากปราบปรามสักพักก็จะกลับมาใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ให้ได้ เพราะหากปราบปรามรุนแรงก็จะกลายเป็นการทำให้ชาวบ้านไปเล่นการพนันในรูปแบบอื่น เช่น อาจจะไปเล่นหวยใต้ดิน จับยี่กี น้ำเต้าปูปลาฯ ทางที่ดีคือต้องอยู่กับมันแต่ควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดไปมากกว่านี้
“ต้องยอมรับว่าเงินที่จ่ายมาให้ตำรวจนั้นส่วนหนึ่งก็เอาไปทำงานด้านการสืบสวนคดี เพราะตอนนี้ตำรวจโรงพักกำลังถูกตัดเงินที่ใช้ในการสืบสวนออกไปราวเดือนละ 1.5 แสนบาท แต่ตำรวจเลวบางคนก็เก็บเข้ากระเป๋า ผมจึงไม่ชอบเงินพวกนี้เพราะมันเป็นเพียงเศษเงินของพวกเจ้าของตู้เท่านั้น ส่วนที่นายกฯ ออกมาพูดนั้นผมคิดว่าน่าจะเกิดจากความโลภของตำรวจที่เอาตู้ม้าไปตั้งในแหล่งชุมชน และแข่งกันเก็บเงินเก็บทอง ตู้ม้าจึงระบาดมากจนเรื่องถึงหูนายกฯ” แหล่งข่าวตำรวจนครบาล กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้เป็นแกนหลักในการปราบปรามขบวนการตู้ม้า กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้วกว่า 10 เรื่องทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนไปเก็บข้อมูลพร้อมกับถ่ายรูปมาเป็นหลักฐานแล้ว ทั้งนี้การพนันตู้ม้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา เช่น การลักทรัพย์ตามบ้าน ที่อาจจะเริ่มจากบ้านของตัวเอง ก่อนที่จะขยายไปลักทรัพย์ผู้อื่น หรือขยายผลไปค้ายาเสพติดเพื่อหารายได้มาเล่นพนัน เป็นต้น
“เมื่อสูญเสียเงินมากขึ้นคนพวกนี้ก็จะก่ออาชญากรรมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ดักจี้ ปล้น วิ่งราวทรัพย์ โดยส่วนใหญ่จะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้ด้อยโอกาสไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา และหากคนพวกนี้ต่อสู้ ก็อาจจะถูกทำร้าย หรือกลายเป็นเหยื่อจนเสียชีวิต” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวและว่า กองปราบปรามจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่ไปเกี่ยวข้องกับตู้ม้า เพราะเรื่องนี้ ผบช.ก. และ ผบ.ตร. กำชับมาอย่างเคร่งครัด


