จาก REDD ถึง REDD+ แนวคิดใหม่ในการลดโลกร้อน
....วีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์
แนวทางลดโลกร้อนด้วยการลดการตัดไม้ทำลายป่าและลดการทำให้ป่าเสื่อมโทรมในประเทศกำลังพัฒนา หรือ Reducing Emission from Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries เรียกย่อๆ ว่า REDD เป็นส่วนหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCC) เนื่องจากมีข้อมูลว่าก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่า (และปล่อยให้ป่าเสื่อมโทรม) คิดเป็นกว่า 20% ของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลก หัวใจสำคัญของ REDD คือ ดูแลรักษาป่าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์โดยไม่ปล่อยให้มีการทำลายป่าและทำให้ป่าเสื่อมโทรม ผลที่ได้จะก่อประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของโลก
REDD มีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2548 จากการเสนอโดยปาปัวนิวกินีและคอสตาริกา ที่มีแนวคิดว่าผู้ที่ดูแลรักษาป่าควรจะได้แรงจูงใจเชิงบวก ด้วยการจัดค่าตอบแทนให้เพื่อเป็นกลไกในการทำดีต่อโลกอย่างนั้นต่อๆ ไป
REDD จึงชักชวนให้ประเทศพัฒนาแล้วสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนารักษาป่า ปัจจุบันมีการเพิ่มความหมายจาก REDD เป็น REDD+ อ่านว่า เรดด์พลัส ที่เพิ่มประเด็น
ป่าไม้ในฐานะ
“แหล่งกักเก็บคาร์บอน” (Enhancement of Forest Carbon Stocks) เข้าไปอีกด้วยไทยเป็นภาคีอนุสัญญาข้างต้น จึงน่าจะใช้ประโยชน์จากหลักการ REDD+
ซึ่งประโยชน์ที่ไทยจะได้ คือ ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ป่าไม้ในประเทศได้รับการดูแล และอาจได้เงิน REDD+ ตอบแทน จากการรักษาป่า รวมถึงจากจำนวนก๊าซคาร์บอนที่ลดได้ ซึ่งจะสามารถขายในตลาดคาร์บอนเครดิตได้อีก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจตามมา คือ การดูแลรักษาป่าต้องเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อวิถีดั้งเดิมของชาวบ้านที่อาศัยผลผลิตจากป่าในการดำรงชีวิต รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชนในการจัดประโยชน์จากโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพราะผลประโยชน์มักไม่ตกอยู่กับคนในชุมชน แต่จะตกอยู่กับนายหน้า หรือโบรกเกอร์
ดังนั้น ถ้าได้เงินมาก็ควรนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนที่มุ่งให้คืนชุมชน ตลอดจนใช้จ่ายเพื่อคุ้มครองระบบนิเวศของป่าอย่างเป็นมิตร เช่น ป้องกันไฟป่า สร้างแนวป้องกันการบุกรุกจากเมือง สกัดการสร้างถนน ตัดป่า หรือบำบัดน้ำเสียจากแหล่งอื่นที่จะไหลผ่านมากระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในป่า และกองทุนนี้ควรโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้จึงจะเกิดประโยชน์ยั่งยืนต่อทุกฝ่าย
ถึงแม้วันนี้ REDD จะยังต้องสร้างความชัดเจนในอีกหลายๆ เรื่อง แต่แนวคิดในเรื่องของการอนุรักษ์ ก็ทำให้
“เรา” มองเห็นอีกหนึ่งเหตุผลในการช่วยลด “โลกร้อน” ซึ่งไทยควรริเริ่มให้ความสำคัญกับวิธีการ “อนุรักษ์” แบบใหม่ๆ และค้นหาเทคนิคการจัดการป่ากับชุมชนอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น...ใครจะไปรู้...แทนที่เราจะส่งออกแต่สินค้าจากโรงงาน วันหนึ่งเราอาจมีรายได้จากการส่งออกเครดิตการรักษาป่า และได้ดุลการค้าจากการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างเป็นมิตรต่อความหลากหลายทางชีวภาพก็ได้

