posttoday

เครือข่ายป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ยื่น 8 ข้อเรียกร้อง แก้ปัญหากัดเซาะอย่างยั่งยืน

30 ตุลาคม 2564

เครือข่ายประชาชนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ปัตตานี ยื่น 8 ข้อเรียกร้อง ถึงนายกฯ หาทางออกหยุดยั้งวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน

เครือข่ายประชาชนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน จังหวัดปัตตานี ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มเครือข่ายนักศึกษา เยาวชน และภาคประชาชนที่ตระหนักถึงภัยความมั่นคงของชายฝั่งทะเล ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ศาลากลางจังหวัดปัตตานี พร้อมกันนี้ทางกลุ่มก็จะยื่นหนังสือต่อผู้แทนของประชาชนให้ติดตามความคืบหน้าตามบทบาทหน้าที่อันพึงมีต่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนในสภาผู้แทนต่อไป

สืบเนื่องจากสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทยที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ภัยทางธรรมชาติ และ การคุกคามจากมนุษย์ การกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทย ปัจจุบันสาเหตุหลักมาจากการแทรกแซงกระบวนการทางธรรมชาติของหาดทราย ด้วยโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเล และ การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ที่ไม่คำนึงถึงระบบธรรมชาติของทะเล ส่งผลให้หาดทรายเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาแล้ว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่กล่าวมานั้น มีต้นตอของปัญหาจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยมีปัญหาเชิงนโยบายที่เห็นได้อย่างประจักษ์ชัดเจน ดังนี้

1. การเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ทำให้เกิดการระบาดของกำแพงกันคลื่นในหลายพื้นที่ชายหาด จากข้อมูลที่มีการรวบรวมมาพบว่า ตั้งแต่ปี 2556 – 2562 หลังการเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องทำ EIA มีโครงการกำแพงกันคลื่นทั้งหมด 74 โครงการ ระยะทางรวม 34.875 กิโลเมตรตลอดแนวชายฝั่ง งบประมาณรวม 6,967,853,620 บาท ประกอบกับการเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องทำ EIA เป็นการทำลายหลักประกันสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และทำให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนต่อการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจนเป็นคดีความ ไม่น้อยกว่า 3 คดี ได้แก่ คดีอ่าวน้อย คดีหาดม่วงงาม และคดีหาด มหาราช ซึ่งคดีเหล่านี้ล้วนมีมูลเหตุสำคัญมาจากการเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

2. การที่รัฐไม่ส่งเสริมความรู้ในการจัดการชายฝั่ง และกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการจัดการทรัพยากรชายหาด เพื่อให้ชุมชนได้มีความรู้ และร่วมกำหนดเจตจำนงของตนในการจัดการทรัพยากรชายหาดอย่างแท้จริง

3. การกำหนดมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ เช่น การกัดเซาะชายฝั่งเพียงชั่วคราว ในช่วงมรสุม แต่รัฐเลือกดำเนินมาตรการถาวร เช่น กำแพงกันคลื่น ในพื้นที่ชายหาดที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง ระยะสั้น

4. การที่รัฐไม่สนับสนุนและผลักดัน มาตรการอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาตรการในการฟื้นฟูชายฝั่ง ปรับสมดุลให้แก่ธรรมชาติ เช่น การเติมทราย การถ่ายเททรายข้ามร่องน้ำ การกำหนดแนวถอยร่น การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์เพื่อคุ้มครองชายฝั่ง เป็นต้น รวมถึงการรื้อถอนโครงสร้างที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ชายฝั่งได้ฟื้นฟูสภาพ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และมีการติดตามผลของมาตรการเหล่านี้อย่างชัดเจน

5. ปัญหาอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ทับซ้อนกันในการแก้ไขปัญหา ทำให้หลายพื้นที่ชายหาดมีมาตรการป้องกันชายฝั่งที่ทับซ้อนกัน เกิดความไม่เป็นเอกภาพ และไม่มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน

6. การที่รัฐไม่กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นทำให้ ท้องถิ่นซึ่งมีความยึดโยงกับประชาชนมากกว่ารัฐส่วนกลาง และเข้าใจสถานการณ์ปัญหาของพื้นที่ได้ดีกว่านั้น ไม่สามารถแก้ไข หรือจัดการปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้ เพราะไม่มีอำนาจและงบประมาณในการบริหารจัดการ

7. ปัญหาการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในปัจจุบันการตัดสินใจดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งนั้น ประชาชนกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการรับฟังความคิดเห็นที่หน่วยงานล็อกรูปแบบโครงการมาให้ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสในการเลือกแนวทางในการป้องกันและแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งได้ อีกทั้งการรับฟังความเห็นของประชาชนในปัจจุบันมีการชัดจูง ให้ข้อมูลด้านเดียวทำให้ประชาชนขาดความรู้ในการตัดสินใจเลือกวิธีการในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

8. กระบวนการการพิจารณากำหนดการอนุมัติโครงการกำแพง/เขื่อนกันเคลื่อน ที่ใช้เพียงกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาดและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล Environmental Checklist For Seawall and Revetment เท่านั้น ทำให้โครงการขาดความรอบคอบ และขาดความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลังการก่อสร้างโครงสร้างแข็งจามแนวชายหาด

ปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่กล่าวมานี้ คือ ต้นตอของปัญหาที่ก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ชายฝั่งของประเทศไทย สภาประชาชนภาคใต้ซึ่งได้ดำเนินการจัดเวทีระดมความเห็นและเสนอแนะแนวทางเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการจัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน และเครือข่ายประชาชนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป้นการรวมตัวของเยาวชน กลุ่มองค์กร และภาคประชาชน จำนวน 23 องค์กร มีความเห็นร่วมกันว่า เพื่อการฟื้นฟู แก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของประเทศไทยอย่างยั่งยืน รัฐบาลควรต้องเร่งดำเนินการดังนี้

1. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโครงการหรือกิจการประเภทกำแพงกันคลื่น กลับเข้าไปเป็นโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิตามรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนชายฝั่ง

2. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระงับการดำเนินการโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ชายหาดทั่วประเทศไทย ที่กำลังมีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อป้องการทำลายชายหาดด้วยโครงสร้างป้องกันชายฝั่งของรัฐ และไม่ให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ได้เกิดประโยชน์ในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แต่เป็นการซ้ำเติมเพิ่มปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

3.รัฐบาลต้องผลักดันให้เกิดการใช้มาตรการชั่วคราว ที่สามารถรื้อถอนได้เมื่อผ่านมรสุมไป อย่างที่ปรากฏชัดเจนในหลายพื้นที่ชายหาดของประเทศไทยว่า การกัดเซาะชายฝั่งในหลายพื้นที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว การใช้มาตรการชั่วคราว ที่เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมเพื่อการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งชั่วคราวในช่วงมรสุม

4. รัฐบาลต้องส่งเสริม และผลักดันให้มีการใช้มาตรการที่เป็นมิตรกับชายหาด เช่น การเติมทราย การกำหนดแนวถอยร่น การรื้อถอนโครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่ไม่จำเป็น และการป้องกันการกัดเซาะตามวิถีภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อให้ชายฝั่งได้ฟื้นคืนและเกิดความสมดุล โดยที่มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชายฝั่ง

5. รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ประชาชนและชุมชนชายฝั่งสามารถกำหนดเจตจำนงของตนเอง ในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายหาดอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมให้ความรู้และรับรองสิทธิชุมชน กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดการ ใช้ประโยชน์ และบำรุงรักษาทรัพยากรชายหาด

6. คณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทุกจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายฝั่ง ต้องจัดให้มีคณะอนุกรรมการกัดเซาะชายฝั่ง โดยกำหนดให้มีสัดส่วนจากภาคประชาชนที่มาจากพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งร่วมเป็นอนุกรรมการดังกล่าว

7. รัฐบาลควรเร่งตั้งคณะกรรมการศึกษาสภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อรวบรวมการใช้ประโยชน์ และจำแนกประเภทการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งการการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกัน แก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน

8. ปัจจุบันจังหวัดปัตตานีมีสถานการณ์การขุดลอกอ่าวปัตตานี ทำให้เกิดสันทรายขนาดใหญ่กลางอ่าวปัตตานี กระทบต่อการเดินเรือของประชาชนที่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำ และกระทบระบบนิเวศในอ่าวปัตตานี ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขุดลอกสันทรายบริเวณอ่าวปัตตานี จากโครงการขุดลอกอ่าวปัตตานีโดยกรมเจ้าท่าออกจากอ่าวปัตตานี โดยเร็วที่สุด

ทั้ง 8 ข้อเรียกร้องนี้ เป็นทางออกเพื่อการหยุดยั้งวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลพวงจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นเครือข่ายประชาชนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน จากการรวมกลุ่มกันขององค์กร 23 องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในจังหวัดปัตตานี ขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับร่วมกันหารือ และพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวโดยด่วน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน

รายชื่อเครือข่ายประชาชนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน จังหวัดปัตตานี จำนวน 22 องค์กร ที่ร่วมลงนามสนับสนุน 8 ข้อเรียกร้องดังกล่าว

1. เครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ (PerMaTaMas)

2. The looker

3. เครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรี

4.เครือข่ายขุมชนประมงพื้นบ้านและชายฝั่งรอบอ่าวปัตตานี

5.สมาคมลุ่มน้ำสายบุรี

6.กลุ่มศึกษาชุมชนและทรัพยากรปาตานี Patani Resources

7.พรรครวมใจจันทน์กะพ้อ

8.Nec club

9.ชมรมสร้างสรรค์เพื่อสังคม

10.Nabavee เยาวชนบ้านน้ำบ่อ

11.เครือข่ายเยาวชนก้าวหน้าเพื่อการพัฒนาสังคม(หนองจิก)

12.กลุ่มเยาวชนรักหาดบ้านบางเก่า

13. กลุ่มเยาวชนรักชายหาดตะโล๊ะการ์โปร์

14.ชมรมอนุรักษ์ ม.อ.ปัตตานี

15.อารีฟีน โสะ เลขาธิการ The Patani ประจำภูมิภาค Patani Lama

16.พรรคกิจประชา

17.สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ CAP

18.สโมสรนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

19.กลุ่มชุมชนอนุรักษ์ปกป้องทะเลและชายฝั่งบ้านตันหยงเปาว์

20. นายทวีศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

21.สภานักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี

22.ชมรมประมงพื้นบ้านตำบลปะนาเระ

23. บ้าน เมือง แว้ง

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์–พลังงานกดดัน S&P 500